#wrficnct – Seven Days – 2: TUESDAY (Johnny/Jaehyun)

บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย, Y, BL
หากไม่ชอบกรุณากดปิด

บทความนี้เป็นเพียงเรื่องแต่งซึ่งเกิดจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล เหตุการณ์ หรือสถานที่จริงใด ๆ ทั้งสิ้น

Rating: PG
Category: M/M
Fandom: NCT
Relationships: Johnny/Jaehyun
Note: Seven Days by TAKARAI Rihito AU

Seven Days

Wirunyupha

2
TUESDAY

 

ยังไม่ทันถึงห้องเรียน แจฮยอนก็รู้ว่าตัวเองตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งโรงเรียน

 

แม้ก่อนหน้านี้เขามักจะตกเป็นเป้าสายตาอยู่แล้ว (แหม ฉายาเจ้าชายแจฮยอนนั่นก็ดึงดูดความสนใจคนได้เยอะนะ) แต่ไม่มีครั้งไหนที่ทุกคนมองเขาเหมือนอยากวิ่งเข้ามาถามคำถามขนาดนี้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย ความใครรู้ ซึ่งแจฮยอนก็ทำเป็นไม่เห็นบ้าง หรือหากบังเอิญสบตาก็จะหันไปยิ้มตอบอย่างสุภาพบ้าง

 

ถ้าให้เขาเดา ก็คงไม่พ้นเรื่องจอห์นนี่นั่นแหละ

 

เขาอาจจะเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์การเดตอาทิตย์ละคนของพี่จอห์นนี่ที่เป็นผู้ชาย

 

เอ จะว่าไปเขาก็ไม่ได้ถามแฮะว่าก่อนหน้านี้พี่จอห์นนี่เคยคบกับผู้ชายมาก่อนหรือเปล่า

 

แจฮยอนคิดอะไรไร้สาระไปเรื่อย จนมาถึงหน้าห้องเรียน ด้วยความคิดเรื่อยเปื่อยเหล่านั้นเขาจึงทำเป็นไม่เห็นสายตาของคนรอบข้างได้ แต่พอมาถึงห้องเรียน แน่นอนว่าเขาย่อมเลี่ยงไม่ได้

 

“จอง แจฮยอน!” เป็นซูยองที่พุ่งเข้ามาคนแรก “มันเกิดอะไรขึ้น! ทำไมนายถึงไปเดตกับพี่ยองโฮได้!”

 

คำว่า พี่ยองโฮ จากปากของเพื่อนสาวทำให้เขาแปลกใจนิดหน่อย แต่พอนึกว่า ทุกคนที่คบกับพี่เขาก็คงเรียกแบบนี้ ยกเว้นเขาคนเดียวที่เรียกว่า พี่จอห์นนี่ แจฮยอนก็อมยิ้มกับตัวเอง

 

ความรู้สึกแบบนี้ก็ไม่เลวแฮะ

 

“ยิ้มบ้าอะไรเนี่ย แจฮยอน จะไม่บอกหรือไง”

 

เขายักไหล่ “ก็ทำเหมือนที่พวกเธอทำนั่นแหละ”

 

“นายชอบพี่ยองโฮเหรอ”

 

แจฮยอนไม่ตอบคำถามนั้น เขาเดินไปนั่งที่โต๊ะเรียนของตัวเอง จองอูกับโดยองยกมือทักทายตามปกติ และเขาก็ยกมือตอบ

 

“วันนี้ฉันจะรอดูนายโดนพวกผู้หญิงซักฟอก” โดยองว่า “ไม่ต้องถามเองก็ได้ รอฟังนายตอบคำถามของพวกนั้นก็จบ”

 

“ถ้าฉันไม่อยากตอบ ใครก็บังคับฉันตอบไม่ได้หรอกน่า” แจฮยอนตอบกลับยิ้ม ๆ มองโดยองกับจองอูที่มองหน้าเขาแล้วถอนหายใจ

 

ซูยองลากเก้าอี้มานั่งใกล้ ๆ กับเขาอย่างไม่ย่อท้อ ข้างหลังมีเพื่อนผู้หญิงยืนล้อมด้วยความอยากรู้อยากเห็นไม่ต่างกัน

 

“อธิบายมาให้หมดเลยนะ แจฮยอน”

 

แจฮยอนเท้าคาง ทำปากยื่นแบบที่โดยองกับจองอูเห็นแล้วอยากเอามือบีบปาก

 

“ไม่มีอะไรจะอธิบายอะ”

 

“ได้ไง! นี่นายกลายเป็นแฟนอาทิตย์นี้ของพี่ยองโฮไปแล้วนะ จะไม่มีอะไรจริง ๆ เหรอ”

 

แจฮยอนมองเพื่อนที่ทำท่าอยากจะซักไซ้ทุกอย่างให้ขาวสะอาดหมดจดแล้วก็ถอนหายใจ ก่อนจะเหลือบไปเห็นเงาร่างที่ประตูหน้าห้องเรียน พออีกฝ่ายเห็นเขาก็โบกมือให้ เขาเลยโบกมือตอบ ทุกคนเลยหันไปมองว่าเขาโบกมือให้ใคร

 

จะใครถ้าไม่ใช่พี่จอห์นนี่

 

“ไม่ถามพี่เขาดูล่ะว่าเรื่องมันเป็นไงมาไง” เขาท้าซูยอง แน่นอนว่าเธอรีบส่ายหน้าทันที

 

“พี่ยองโฮไม่คุยกับคนที่เลิกกันไปหรอก จะถือว่าเป็นคนเคยรู้จักก็เท่านั้น”

 

“…”

 

คำพูดนั้นทำเอาเขาอึ้งไป แต่ความคิดนั้นก็หยุดลงเมื่อคนที่หน้าประตูเอ่ยเรียกเขาขึ้นมา

 

“เจย์”

 

ทุกคนหันมามองเขา แต่แจฮยอนไม่ได้สนใจ

 

“เดี๋ยวมา” เขาบอกโดยองกับจองอูแล้วเดินออกไปหาคนที่ยืนอยู่หน้าห้อง

 

อีกครึ่งชั่วโมงจะถึงเวลาเข้าเรียน ไม่แปลกที่จะมีคนเดินเข้าเดินออกห้องต่าง ๆ ไปทั่ว แจฮยอนเบี่ยงตัวหลบให้เพื่อนเดินเข้าห้อง เขาเห็นยองโฮยืนพิงระเบียงทางเดินรอเขาอยู่

 

“มาหาเจย์แต่เช้าเลย”

 

“คิดถึง”

 

“แหวะ” แจฮยอนหัวเราะ “พูดมาเลยดีกว่าว่ามีอะไร”

 

“ช่วยเขินกันหน่อยก็ได้”

 

“จะเขินถ้ามันมีความรู้สึกร่วมด้วย ไม่ใช่พูดเพราะหน้าที่”

 

คนเป็นรุ่นพี่เลิกคิ้ว

 

“แล้วรู้ได้ยังไงว่าพี่ไม่ได้คิดถึงเจย์จริง ๆ”

 

แจฮยอนยักไหล่ “ตกลงพี่มีอะไรกันแน่”

 

“มาหาแฟนก่อนเข้าเรียนนี่แปลกเหรอ”

 

“ก็ไม่” แจฮยอนทบทวน ตอนเขาคบกับแฟนเก่าก็มีไปหาที่ห้องเรียนบ้าง “แต่พี่คงมีอะไรมากกว่าแค่มาหาเจย์เฉย ๆ มั้ง”

 

“เที่ยงนี้กินข้าวกับเพื่อนหรือเปล่า”

 

แจฮยอนพยักหน้า “พี่ล่ะ”

 

“ก็คงกับพวกยูตะ”

 

“งั้นเย็นนี้พี่ว่างไหม ไปดูหนังกัน”

 

ยองโฮเลิกคิ้ว “ชอบดูหนังแนวไหน”

 

“ดูได้หมดแหละ”

 

“สยองขวัญ?”

 

“ดู ๆ” แจฮยอนพยักหน้ารัว ๆ “เคยไปดูกับพวกโดยองแล้วรำคาญมันอะ โวยวายทั้งเรื่อง พี่คงไม่ได้เป็นแบบนั้นใช่ไหม”

 

ยองโฮหัวเราะ “งั้นก็ดูด้วยกันวันนี้แหละ สบายใจได้ พี่ไม่กรี๊ดหรอก”

 

แจฮยอนท่าทางแปลกใจ “พี่ไม่มีเรียนพิเศษเหรอ จะเข้ามหาวิทยาลัยแล้วนะ”

 

คนโดนถามส่ายหน้า “ไม่ล่ะ ว่าจะไม่ต่อในเกาหลีก็เลยไม่ได้ต้องทุ่มเทแข่งกับคนอื่นขนาดนั้น”

 

คำตอบนั้นทำให้แจฮยอนแปลกใจ

 

“หมายความว่าไง พี่จะไปเรียนต่อเมืองนอกเหรอ”

 

“ชิคาโก้ไง”

 

“อ๋อ” แจฮยอนพยักหน้า “มีใครรู้ไหมเนี่ย”

 

“พ่อแม่ พวกยูตะ แล้วก็เจย์นั่นแหละ”

 

“แล้วแฟนคนก่อน ๆ?”

 

“ไม่เคยมีใครถามเลยต่างหาก พอพี่มีเวลาให้ก็ไม่ค่อยสงสัยกันหรอกว่าทำไมพี่ว่างเทียวรับเทียวส่งนัก”

 

แจฮยอนหัวเราะ ยองโฮเห็นแล้วยื่นมือมาดึงแก้มเขาเบา ๆ

 

“แล้วเจย์ไม่มีเรียนพิเศษหรือไง”

 

“มีวันพุธเย็น คณิตกับฟิสิกส์ นอกนั้นอ่านเองแหละ”

 

“ดีแล้ว เรียนมากก็เครียด” มือของยองโฮย้ายจากตรงแก้มขามาเป็นกลุ่มผมสีน้ำตาล “ตั้งใจเรียน เจอกันตอนเย็นที่ห้องชมรม เดี๋ยวพี่ส่งข้อความหา”

 

“ครับ” เจย์พยักหน้า ซึมซับสัมผัสนุ่มนวลบนศีรษะตัวเอง “ไว้เจอกัน”

 

 

“ต่อจากจิ้มแก้มก็เป็นโอบไหล่”

 

“แล้วก็ลูบแก้มลูบหัว”

 

คิมโดยองกับคิมจองอูมองเพื่อนตัวดีที่กลับเข้ามานั่งยิ้มร่าอยู่ข้าง ๆ แล้วอดพูดไม่ได้ แจฮยอนทำท่าไม่รู้ไม่ชี้

 

“เป็นแฟนกันจริง ๆ เหรอ นึกว่ามุก”

 

“ก็จริงน่ะสิ” แจฮยอนตอบรับ หยิบปากกามาควงเล่น “ไม่ใช่แฟนจะทำแบบนั้นเหรอ”

 

“คิดไงถึงไปขอรุ่นพี่ยองโฮคบ” จองอูถาม

 

ปากกาที่ควงอยู่หยุดค้าง แจฮยอนเอียงศีรษะไปมา ใคร่ครวญคำตอบที่ดีที่สุด

 

“ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากรู้น่ะ”

 

“อยากรู้อะไร” โดยองถามต่อ

 

แจฮยอนถอนหายใจ

 

“อยากรู้ว่า ถ้าเขาดีกับเราขนาดนั้น ตอนบอกเลิกกัน จะไม่รู้สึกอะไรเลยจริง ๆ เหรอ”

 

 

“แล้วเป็นไง กับน้องเจ้าชาย”

 

นากาโมโตะ ยูตะ ถามเพื่อนสนิททันทีที่พวกเขาจัดการอาหารเที่ยงเสร็จ

 

ในสายตาของยูตะแล้ว ซอ ยองโฮ เพื่อนสนิทของเขาเป็นพวกมีความคิดอ่านที่ล้ำชาวบ้านไปไกล ตามอะไรไม่ค่อยทัน คิดอะไรอยู่ในใจก็ไม่ค่อยบอก แต่เป็นคนดีคนหนึ่ง อย่างน้อยก็เป็นเพื่อนที่ดี และน่าจะเป็นแฟนที่ดี ฟังจากฟีดแบ็กของแฟนทั้งหลายของมัน

 

ยูตะอยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่การเดตรายอาทิตย์ครั้งแรกของยองโฮ เขาจำสายตาแปลกใจของเพ่ือนสนิทได้ตอนที่รุ่นพี่คนหนึ่งเข้ามาขอคบโดยบอกว่า อีกอาทิตย์เดียวตนเองก็จะจบการศึกษาแล้ว ขอแค่ในอาทิตย์นี้ได้เป็นแฟนกับยองโฮสักครั้ง คงจะเป็นความทรงจำที่ดีของมัธยมปลาย แล้วไอ้ยองโฮก็ตกปากรับคำเสียดื้อ ๆ

 

หลังจากนั้น พอเปิดเทอมใหม่ก็เริ่มมีคนมาขอเดตยองโฮแค่อาทิตย์เดียวอีก ไป ๆ มา ๆ ก็กลายเป็นเงื่อนไขที่รู้กันดีว่า ซอยองโฮจะรับคำขอแรกของคนแรกในวันจันทร์ และบอกเลิกในวันจันทร์ถัดไป จนถึงตอนนี้ก็จะครบปีแล้วกับกิจกรรมพิลึก ๆ ของเพื่อนของเขาคนนี้

 

แน่นอนว่ายูตะเคยเห็นแฟนทุกคนของยองโฮ ตั้งแต่คนแรกจนถึงคนล่าสุดอย่างเบ จูฮยอน ตอนจูฮยอนมาขอยองโฮคบ พวกเขายังตกใจเลย ระดับจูฮยอนที่แค่กระดิกนิ้วเดียวผู้ชายทั้งโรงเรียนก็ยอมสยบ ลงทุนมาขอเป็นแฟนรายอาทิตย์ของเจ้ายองโฮ โลกมันจะบ้าไปกันใหญ่แล้ว

 

แต่เหนือกว่าเบ จูฮยอน ยังมี เจ้าชายแจฮยอน

 

จอง แจฮยอน เจ้าของสมญานามนั้น เป็นรุ่นน้องของพวกเขาสองปี ตั้งแต่เข้ามาเรียนก็โดดเด่นด้วยหน้าตาที่เหนือกว่าคนทั่วไป ส่วนสูงราวร้อยแปดสิบ และทักษะทางการเรียนและกีฬาที่ยอดเยี่ยม ตอนงานโรงเรียนก็เคยมาแสดงความสามารถทางการร้องเพลง เรียกได้ว่าเป็นคนที่ครบครันไปเสียทุกอย่าง มารยาทก็ดี การวางตัวก็เหมาะสม รู้เลยว่าที่บ้านสอนมาดี หนังสือพิมพ์โรงเรียนจึงให้สมญานาม เจ้าชายแจฮยอน แก่น้องคนนั้น

 

แม้แจฮยอนจะเป็นผู้ชายแบบที่ผู้ชายด้วยกันน่าจะอิจฉา แต่น่าแปลกที่ดูรุ่นน้องคนนี้จะไม่มีศัตรูเลย อาจเป็นเพราะรอยยิ้มสดใส หรือคำพูดคำจาน่าฟังก็เป็นได้ ยูตะเคยคุยกับอีกฝ่ายผ่าน ๆ ยังรู้สึกว่า เป็นคนที่ทำให้รู้สึกอยากอยู่ใกล้ตลอดเวลา ก็คงไม่แปลกถ้าจะมีคนรู้สึกดี ๆ กับน้อง

 

แต่ก็ไม่นึกว่าน้องเจ้าชายจะมาคบกับยองโฮไหม

 

เขามองเพื่อนสนิทที่ตอนนี้เงียบไปเหมือนลืมปากเอาไว้ที่บ้าน สายตาเหมือนจะเลื่อนลอย แต่พอมองตามไปก็เห็นว่ามันกำลังมองกลุ่มน้องเจ้าชายนั่นแหละ

 

“ไม่ตอบอีก คนนี้ดูไม่เหมือนคนอื่นนะ”

 

ยองโฮเบนสายตามาหาเขา

 

“อืม ไม่เหมือนเลย”

 

ยูตะไม่รู้ว่า คำว่า ‘ไม่เหมือน’ ของยองโฮหมายถึงยังไง และคิดว่าคงไม่มีทางรู้จากปากเพื่อนด้วย ซอยองโฮเป็นสุภาพบุรุษที่ไม่เคยนินทาคนที่เดตด้วยให้ฟัง หรือจนเลิกกันไปแล้วก็จะไม่รื้อฟื้นให้อีกฝ่ายเสียหาย

 

พ่อพระสุด ๆ

 

“แต่แปลกชะมัดที่น้องเจ้าชายขอนายเดต” ยูตะพูด “ไม่นึกว่าเขาจะสนใจนายนะ”

 

ยองโฮยิ้มมุมปาก

 

“เขาไม่ได้ขอฉันเดต”

 

“…ฮะ?”

 

คราวนี้ยูตะงงกว่าเดิม

 

และไม่มีคำพูดอธิบายอะไรอีก ยองโฮบอกเขาว่าจะไปห้องชมรม แล้วพวกเขาก็แยกกัน

 

 

แจฮยอนเลื่อนประตูชมรมเปิด แสงแดดยามเย็นยังส่องสว่างอยู่ ยองโฮนั่งรอเขาอยู่ที่โต๊ะตัวเดิม

 

“พี่มาเร็วจัง” เขาทัก

 

“ห้องเรียนปีสามอยู่แค่นี้เอง”

 

พอได้ยินเช่นนั้น แจฮยอนถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองไม่รู้ว่าห้องเรียนของอีกฝ่ายอยู่ไหน

 

“คราวหน้าเจย์ไปหาพี่ที่ห้องบ้างดีกว่า” เขายิ้มกว้างขณะพูด “ไหน ๆ พี่ก็มาหาเจย์ที่ห้องแล้ว”

 

ยองโฮไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่ยิ้มรับ

 

“อ่านอะไรไหม”

 

“เล่มที่ยืมไปคราวก่อนยังอ่านไม่จบเลย” แจฮยอนบ่น “ไม่รู้จะอ่านตอนไหน กลับบ้านไปก็อ่านแต่หนังสือเรียน จะอ่านตอนกินข้าวก็โดนพ่อดุอีก”

 

“วันนี้เอาเล่มนั้นมาหรือเปล่า”

 

เขาพยักหน้ารับ

 

“งั้นก็อ่านตอนกินข้าวกันก็ได้ พี่ไม่ว่าหรอก”

 

แจฮยอนมุ่ยหน้า “ก็อยากคุยกับพี่มากกว่านี่”

 

“แล้วแต่เจย์เลยครับ”

 

คนโดนตามใจเบะปาก

 

“พี่ไม่ต้องตามใจเจย์มากหรอก ถ้าเจย์เอาหนังสือมาอ่าน แล้วพี่จะทำอะไรตอนนั้นอะ นั่งมองชามข้าวเหรอ”

 

คนฟังหลุดยิ้ม

 

“หรือพี่ก็มีอ่านของพี่อีกเล่ม”

 

“ขอโทษครับ พี่อยากคุยกับเจย์มากกว่า”

 

รอยยิ้มพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของรุ่นน้อง “ดีมากครับ หนังสือน่ะอ่านตอนไหนก็ได้ แต่เราจะได้คุยกันแบบนี้ก็แค่ช่วงนี้เท่านั้นแหละครับ”

 

โดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มกว้างเมื่อครู่ค่อย ๆ เจื่อนลงเมื่อแจฮยอนตระหนักถึงความหมายของสิ่งที่ตัวเองพูดออกไป เขาไม่เห็นสีหน้าของยองโฮ และทำเพียงส่ายศีรษะไปมาไล่ความรู้สึกหน่วง ๆ ในใจ

 

“ไปกันเถอะครับ หิวแล้ว”

 

 

ยองโฮพาแจฮยอนมาถึงห้างสรรพสินค้าที่มีโรงภาพยนตร์อยู่ด้านใน พวกเขาจะได้ทำทุกอย่างเสร็จในที่เดียว เขาพาแจฮยอนไปซื้อตั๋วหนังก่อน รอบฉายของภาพยนตร์เริ่มประมาณหกโมงครึ่ง แน่นอนว่าแจฮยอนต้องกลับดึก

 

“เดี๋ยวเจย์บอกพ่อกับแม่ก่อนนะ”

 

พูดจบก็ก้มหน้าก้มตากดเข้าห้องแชตครอบครัว ยองโฮมองภาพนั้นเงียบ ๆ จนแจฮยอนเงยหน้ามามองเขาอีกครั้ง

 

“ไปหาข้าวกินกันเถอะครับ”

 

“เจย์อยากกินอะไรครับ”

 

แจฮยอนนิ่งคิด ที่นี่มีร้านอาหารเยอะมาก ไม่รู้ว่าควรเข้าร้านไหนเลย

 

“พี่จอห์นนี่อยากกินร้านไหน คราวนี้ให้พี่เลือกบ้าง เมื่อวานตามใจเจย์ไปแล้ว”

 

คนฟังเลิกคิ้ว “พี่อยากกินพาสต้า”

 

“งั้นไปกินกัน”

 

แจฮยอนเป็นคนว่าง่าย (มาก ๆ) เรื่องกิน พอพวกเขาตกลงร้านอาหารกันเสร็จ ยองโฮก็เดินนำพาน้องมาถึงร้านอาหาร เพราะยังไม่ใช่เวลาอาหารเย็น คนในร้านจึงไม่เยอะมาก พวกเขาได้ที่นั่งติดหน้าต่างร้าน พอเมนูมาถึงแจฮยอนก็สั่งเมนูที่อยากกินทันทีเหมือนคิดมาจากบ้าน ส่วนยองโฮต้องไล่สายตาดูรายการอาหารทั้งหมดก่อนแล้วค่อยคิดว่าจะกินอะไร

 

“พี่จอห์นนี่มาที่นี่บ่อยหรือเปล่า”

 

แจฮยอนถามขึ้น ยองโฮมองหน้าคนถามแล้วส่ายหน้า

 

“นาน ๆ ทีน่ะ คนเยอะ พี่ไม่ค่อยชอบที่คนพลุกพล่านเท่าไหร่”

 

“ก็จริง” แจฮยอนหัวเราะ “ที่นี่เจ๋งมากเลย เจย์ชอบมากับเพื่อน มีห้องสมุดที่ใหญ่มาก ๆ  แล้วก็มีคาเฟ่ไอดอลใกล้ ๆ ด้วย บางวันก็มีบัสกิ้งเจ๋ง ๆ ให้ดู เคยมาดูของวงดนตรีหนึ่งแล้วประทับใจมาก เล่นโคตรดี”

 

ท่าทางตื่นเต้นทำให้ยองโฮนึกสนใจ

 

“เจย์ชอบดนตรีเหรอ ชอบอะไรบ้าง”

 

แจฮยอนกอดอก ทำท่าคิด “เจย์ชอบร้องเพลง ชอบเต้นด้วย จริง ๆ เจย์เคยหัดเล่นเปียโนแต่ไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ เลยไปลองกีตาร์ ดูจะเข้าท่ากว่า ตอนงานโรงเรียนก็เลยดีดกีตาร์กับร้องเพลงโชว์ ไม่รู้พี่ได้ดูไหม”

 

น่าเสียดายที่ยองโฮไม่ได้ร่วมงานโรงเรียนที่ผ่านมา เขาจึงส่ายหน้า

 

“งั้นเดี๋ยวเจย์เล่นให้ดู วันไหนแวะไปบ้านเจย์ จะอวด”

 

ยองโฮอมยิ้ม “ชวนแฟนเข้าบ้านเหรอ ร้ายใช่เล่นนะเรา”

 

แจฮยอนตาโต “ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย พี่นี่คิดแต่เรื่องอย่างว่าเหรอ”

 

คนโดนต่อว่าหัวเราะ

 

“ว่าแต่ พี่จอห์นนี่ชอบดนตรีหรือเปล่าครับ”

 

คนเป็นฝ่ายโดนถามกลับพยักหน้ารับ “พี่เล่นเปียโน แล้วก็ร้องเพลง ตอนอยู่ชิคาโก้พี่ร้องประสานเสียงที่โบสถ์ด้วยนะ”

 

“เจ๋ง” แจฮยอนตาเป็นประกาย “อยากฟังพี่ร้องเลย”

 

“วันอาทิตย์ไปโบสถ์กัน ดีไหม”

 

“เท่อะ เดตที่โบสถ์ ไป ๆๆๆ”

 

ความตื่นเต้นของแจฮยอนทำเอายองโฮอดยิ้มอย่างเอ็นดูไม่ได้ พอดีกับที่อาหารมาเสิร์ฟ พวกเขาจึงได้ฤกษ์จัดการกับมื้อเย็นของวัน

 

ใช้เวลาไม่กี่นาที พาสต้าของสองคนก็หายวับไปจากจาน แจฮยอนเลยชวนยองโฮเดินรอบ ๆ ห้างสรรพสินค้า แล้วก็มาจบลงที่ห้องสมุดเหมือนเมื่อวานไม่มีผิด

 

“ทำไมพวกเราชอบเดินเข้าร้านหนังสือหรือห้องสมุดกัน” แจฮยอนตั้งข้อสังเกต

 

“ไม่งั้นเราสองคนคงไม่ได้อยู่ชมรมเดียวกัน”

 

“ก็จริง”

 

รุ่นน้องตัวสูงเห็นด้วย ก่อนที่พวกเขาจะเดินสำรวจหนังสือรอบ ๆ อย่างสนใจ

 

หนังสือที่นี่มีทั้งหนังสือเกาหลีและหนังสือภาษาต่างประเทศ แจฮยอนอวดให้ยองโฮลองฟังสำเนียงภาษาอังกฤษที่ทิ้งไปนานของตนโดยการหยิบหนังสือสักเล่มมาอ่านออกเสียง รุ่นพี่หนุ่มฟังอย่างตั้งใจ พอโดนคะยั้นคะยอให้อ่านบ้าง แจฮยอนก็อึ้งไปกับสำเนียงของยองโฮ

 

“พี่เหมือนพวกศาสตราจารย์ในหนังอเมริกัน ไม่ก็นักข่าว CNN เลยอะ”

 

“นั่นชมใช่ไหม”

 

“ชมสิ ดูน่าเชื่อถืออะ สำเนียงฟังเพลินมาก”

 

หน้าตาชื่นชมอย่างจริงใจทำเอายองโฮรู้สึกเขิน ๆ ขึ้นมา

 

“นึกว่าจะบอกว่าพี่น่าเบื่อเสียอีก”

 

“ไม่หรอก ถ้าพี่น่าเบื่อ เจย์ก็คงเบื่อพี่ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ไม่ชวนมาดูหนังด้วยวันนี้หรอก”

 

คนฟังยิ้ม เขาไม่รู้ว่าแจฮยอนจะรู้ตัวไหมว่าตัวเองเป็นคนน่ารักจากภายในเลย

 

เดินดูหนังสือกันไปเรื่อยเปื่อย แจฮยอนได้รู้เพิ่มว่า ยองโฮไม่ได้แค่พูดภาษาอังกฤษคล่องแบบเจ้าของภาษา แต่ยังเรียนภาษาอื่น ๆ ทั้ง จีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และสเปนอีกด้วย พอได้ยินแบบนั้นเขาก็ยิ่งทึ่งจนอ้าปากค้าง

 

“พี่…เก่งเกินไปแล้ว”

 

“อะไรล่ะ” ยองโฮชักเขินจริง ๆ แล้ว “เจย์ก็เรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยไม่ใช่หรือไง”

 

“แต่นั่นมันเรียนในชั่วโมงเรียน ไม่ได้สนใจเรียนเองแบบพี่นี่นา” แจฮยอนถึงกับต้องยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเอง “สุดยอดอะ ผมไม่รู้จะพูดคำว่าอะไรเลย”

 

“เลิกชมพี่ได้แล้ว เขินนะเนี่ย”

 

“ก็มันน่าทึ่งนี่นา” ว่าแล้วก็สาดสายตาที่เต็มไปด้วยประกายชื่นชมมาให้เขาอีกรอบ “พูดได้หลายภาษา แถมจะไปเรียนต่อต่างประเทศอีก ดูอนาคตไกลเหลือเกิน เราห่างกันแค่สองปีเองนะพี่”

 

“เจย์ก็ค่อย ๆ วางแผนก็ได้” ยองโฮพูดยิ้ม ๆ “ของอย่างนี้มันต้องค่อยเป็นค่อยไป”

 

แจฮยอนบุ้ยปาก “พอดีตอนนั้นเราคงเลิกกันก่อนแล้ว”

 

“…”

 

“…”

 

ยองโฮยื่นมือไปขยี้ผมสีน้ำตาลนั้นเบา ๆ กำจัดความเงียบน่าอึดอัดที่ปรากฏขึ้นมากะทันหันเมื่อแจฮยอนพูดถึงเรื่องของอาทิตย์หน้า

 

ชั่วขณะนั้น ยองโฮรู้สึกไม่อยากให้อาทิตย์หน้ามาถึงเลย

 

 

เมื่อใกล้ถึงเวลาภาพยนตร์ฉาย พวกเขาแวะซื้อป๊อบคอร์นกับโคล่าเข้าไปกินในโรง แจฮยอนให้สิทธิ์ในการเลือกรสชาติป๊อบคอร์นกับยองโฮ เพราะตัวเองกินได้หมด แล้วพวกเขาก็เข้ามาในโรงเตรียมพร้อมดูหนังสยองขวัญที่เทรลเลอร์ขยี้นักหนาว่า นักวิจารณ์ให้ความน่ากลัวเต็มสิบ

 

ตลอดการดูหนัง แจฮยอนไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวอะไร แต่จะมีตกใจบ้างบางครั้ง ซึ่งพอตกใจทีก็สะดุ้งยกมือมาจับแขนยองโฮที รุ่นพี่จึงเลือกประสานมือข้างหนึ่งของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนไว้ พอตกใจรอบถัดมา แจฮยอนจึงเปลี่ยนไปเป็นกระชับมือข้างที่ประสานกันอยู่นั้นแทน

 

น่าแปลกที่มันไม่ได้รู้สึกประหลาดหรือชวนให้กระอักกระอ่วนอะไรเลย

 

แจฮยอนเติบโตขึ้นมาในครอบครัวคนเกาหลีที่ไม่ได้เคร่งครัดวัฒนธรรมอะไรนัก แต่ก็ไม่เคยมีความคิดว่าวันหนึ่งจะต้องมาเดตกับผู้ชายด้วยกัน เขาคิดอยู่เสมอว่าตัวเองต้องเป็นฝ่ายปกป้องคนอื่น และมือของผู้หญิงที่ตัวเล็กกว่าก็ย่อมนุ่มนิ่มน่าสัมผัสมากกว่าอยู่แล้ว แต่ความคิดนั้นเปลี่ยนไปเมื่อได้อยู่กับยองโฮ ถึงจะแค่วันกว่า ๆ แต่ความรู้สึกที่มีมือที่ใหญ่กว่าเขานิดหน่อยสอดประสานอยู่นี่ กลับทำให้เขาอบอุ่นแปลก ๆ

 

เขาเหลือบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่จดจ่ออยู่กับจอภาพยนตร์ เผลอประสานมือแน่นขึ้นจนยองโฮหันมามองอย่างสงสัย

 

แต่แจฮยอนทำเพียงยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มตอบ

 

 

แจฮยอนเดินบิดขี้เกียจออกมาจากโรงภาพยนตร์ มียองโฮเดินตามอยู่ด้านหลัง พอได้ยืดกล้ามเนื้อจนพอใจเขาก็หันกลับมาหารุ่นพี่ตัวสูง

 

“พี่ว่าเป็นไง”

 

“ก็ดี แต่เนื้อเรื่องเฉย ๆ”

 

“เห็นด้วย” แจฮยอนพยักหน้ารับ “ตอนที่น่ากลัวมีนิดเดียวเอง”

 

“แต่เด็กแถวนี้ก็สะดุ้งบ่อย”

 

“อย่าแซวสิพี่”

 

ยองโฮหัวเราะ “กลับกันเถอะ ดึกแล้ว”

 

นาฬิกาบอกเวลาใกล้สามทุ่ม แจฮยอนหน้าตาตื่น

 

“งั้นเราแยกกันตรงนี้เลยไหมครับ”

 

“เดี๋ยวพี่ส่งไปที่สถานี”

 

“แต่…”

 

“ใกล้แค่นี้เอง ให้ไปเถอะน่า”

 

แจฮยอนพยักหน้ารับ

 

พวกเขาสองคนรีบเดินออกจากห้างสรรพสินค้าที่ใกล้ปิด ตรงไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน ระหว่างทางไม่มีคำพูดสนทนามากนัก แต่แล้วยองโฮก็พูดขึ้นมา

 

“พรุ่งนี้ไปไหนกันดี”

 

แจฮยอนทำท่าคิด “…นึกไม่ออกอะพี่ นอกจากกินข้าวที่ร้านอะไรสักร้าน นอกนั้นก็นึกไม่ออก”

 

“ตอนเย็นก็ไปห้องชมรมอยู่แล้ว

 

แล้วคนเป็นน้องทำท่านึกออก

 

“ที่บอกว่าจะเล่นกีตาร์ให้ฟังไง พรุ่งนี้มาบ้านเจย์ก็ได้นะ”

 

ยองโฮแทบสะดุดล้ม

 

“…เอาจริง?”

 

“พี่ไม่เคยไปบ้านแฟนคนอื่นหรือไง”

 

คนมากประสบการณ์ยักไหล่

 

“เคยสิ แต่ไม่ได้ไปฟังเขาเล่นกีตาร์ร้องเพลง”

 

“แล้วไปทำไมอะ”

 

“…จะให้พี่พูดจริง ๆ เหรอ”

 

แจฮยอนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนจะค่อย ๆ คลายออกเมื่อเข้าใจ ใบหน้าค่อย ๆ เห่อร้อนขึ้นมาเมื่อนึกถึงสาเหตุที่ยองโฮไปบ้านแฟนแต่ละคน

 

“…พี่ไปถึงขั้นนั้นกับแฟนคนอื่นเลยเหรอ”

 

จู่ ๆ ยองโฮก็รู้สึกว่าไม่น่าเปิดประเด็นนี้ขึ้นมาเลย

 

เขาไม่ตอบ ทำท่าจะเดินหนี แต่แจฮยอนก้าวมาดักหน้าไว้ก่อน

 

“ทำไมพี่ไม่ตอบล่ะ บอกมาเถอะ เจย์อยากรู้”

 

“…ทำไมถึงได้อยากรู้อะไรแบบนี้ตลอดเลย”

 

“สรุปว่าถึงขั้นไหนครับ”

 

ยองโฮถอนหายใจ เกาท้ายทอยตัวเองอย่างคนทำอะไรไม่ถูก

 

“…ก็อย่างที่เจย์คิดแหละ แต่ไม่กับทุกคนนะ ถ้าเขาไม่พูดพี่ก็ไม่ทำ”

 

แจฮยอนอ้าปากค้าง “…ป้องกันใช่ไหมครับ”

 

“ไม่งั้นป่านนี้เจย์เห็นพี่อุ้มลูกไปแล้วล่ะ”

 

เห็นหน้าเจื่อน ๆ ของรุ่นพี่แล้วแจฮยอนไม่รู้จะรู้สึกยังไงดี เขาถอนหายใจ ก่อนจะมองรุ่นพี่ขำ ๆ

 

“มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกมั้งครับ เจย์ไม่อะไรหรอก แต่ที่ชวนไปบ้านนี่ชวนไปฟังเพลงจริง ๆ ที่บ้านมีเปียโนด้วยนะ อยากฟังพี่เล่น”

 

“…อืม”

 

“หรือพี่คิดจะทำอย่างอื่นด้วย”

 

“เจย์” ยองโฮทำเสียงเข้ม “เดี๋ยวเถอะ”

 

แจฮยอนยักไหล่ “อะไรล่ะ ไหนว่าถ้าแฟนขอก็ให้ นี่ถ้าผมบอกพี่ให้จูบผมพี่ก็จะทำเหรอ”

 

เกิดความเงียบระลอกใหม่ขึ้นมาอีกแล้ว ยองโฮมองหน้าเขาแล้วเสยผมอย่างคนทำตัวไม่ถูก

 

“ก็ถ้าเจย์พูดแบบนั้น…”

 

แจฮยอนเงียบ เม้มปากอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะดึงรุ่นพี่ข้างกายให้เร่งฝีเท้าตามตัวเองมา ยองโฮทำหน้าเหลอหลา และยิ่งงงหนักขึ้นไปอีกเมื่อแจฮยอนพาเขามาถึงห้องน้ำสาธารณะ

 

“เจย์จะเข้าห้องน้ำเหรอ”

 

แจฮยอนไม่ตอบ แต่มองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง ๆ

 

“พี่จอห์นนี่”

 

“ครับ”

 

“ถ้าเจย์บอกว่าอยากให้พี่จูบ มันคือความต้องการของเจย์ฝ่ายเดียว เจย์ไม่โอเคถ้าพี่ไม่อยากจูบเจย์แต่ต้องมาจูบเพียงเพราะเจย์บอกแบบนั้น”

 

คนฟังอึ้งไป

 

เขามองสายตาจริงจังของอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ

 

“แล้วก็ ไม่ต้องรอให้เจย์บอกว่าอยากจูบหรืออะไร ถ้าพี่อยากจูบเจย์ พี่จะทำก็ได้ เราเป็นแฟนกัน จูบกันได้ใช่ไหม”

 

สีหน้าจริงจัง ประกายในแววตาที่เจือความสงสัยอยู่บ้าง และริมฝีปากที่รัวคำพูดออกมาแบบไม่ทันให้ตั้งตัว

 

ยองโฮจดจ้องใบหน้านั้นนิ่ง ประมวลความคิดกับคำพูดของรุ่นน้องที่แสนจะอ่านยากตรงหน้า แล้วค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจ

 

“เจย์”

 

“ครับ”

 

“ที่พูดมานั่นแน่ใจใช่ไหม”

 

แจฮยอนยังไม่ทันถามว่าอะไร ยองโฮก็เอื้อมมือไปล็อกประตูห้องน้ำสาธารณะ

 

“พี่…”

 

“แป๊บเดียว”

 

สิ้นคำพูดนั้น ยองโฮก็โน้มใบหน้าลงมาประทับริมฝีปาก

 

แจฮยอนเบิกตากว้าง แต่นอกจากความตกใจก็ไม่ได้มีความคิดจะผลักไสออกเลย ยองโฮใช้มือสองข้างจับใบหน้าเขาไว้ ริมฝีปากของเขาโดนแทะเล็มไปมาเหมือนเป็นขนมอะไรสักอย่าง และยองโฮก็ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้น อีกฝ่ายวนเวียนอยู่กับริมฝีปากเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะผละออกอย่างอ้อยอิ่ง

 

“…”

 

“…”

 

แจฮยอนช้อนตามองคนที่ยังคงจดจ้องใบหน้าของเขาเหมือนกลัวว่าเขาจะหายไป รู้สึกถึงความร้อนบนใบหน้าที่พลุ่งพล่านขึ้นมาจนอยากเอาหน้าไปจุ่มน้ำ

 

ยองโฮยังไม่ปล่อยมือจากหน้าของเขาเลย

 

“…จูบได้ใช่ไหม”

 

แจฮยอนกะพริบตาปริบ ๆ พอประมวลผลคำถามนั้นเสร็จก็หลุดขำ

 

“พี่จูบไปแล้ว”

 

“อ่า…” ยองโฮถอนมือจากใบหน้าเขาไปกุมหน้าตัวเองแทน

 

ภาพนั้นทำเอาแจฮยอนอยากหัวเราะ

 

“เจย์ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย แต่ตอนนี้ต้องกลับบ้านแล้วนะพี่จอห์นนี่” เขาดึงมืออีกฝ่ายออกจากใบหน้าของเจ้าของฝ่ามือ “ถ้าช้ากว่านี้รถไฟจะหมดนะ”

 

ยองโฮพยักหน้ารับ เอื้อมมือไปปลดล็อก พอทำท่าจะเดินออกไป แจฮยอนก็รั้งมือไว้ก่อน

 

“ครับ?”

 

“ขอโทษนะครับ” แจฮยอนเอ่ยยิ้ม ๆ “ที่ไม่ได้จูบตอบเลย”

 

“…”

 

ยองโฮไม่รู้จะตอบอะไรกลับไปดี

 

 

ยองโฮเปิดประตูเข้ามาในบ้านของตัวเองตอนสามทุ่มครึ่ง บ้านของเขาเป็นคอนโดที่อยู่ห่างจากตัวเมืองไม่มาก คุณพ่อซื้อไว้ให้ตอนเขากลับมาอยู่เกาหลี ทุกวันนี้คนที่อยู่ก็มีแค่เขากับญาติที่นาน ๆ จะแวะมานอนที ส่วนพ่อแม่กลับชิคาโก้ไปรอเขาแล้ว

 

พอวางข้าวของทุกอย่างและเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ชายหนุ่มก็ทิ้งตัวลงบนเตียงกว้าง เขายกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง พอสัมผัสโดนริมฝีปาก ก็หวนนึกถึงรุ่นน้องคนนั้นขึ้นมา

 

จอง แจฮยอน

 

“แล้วก็ ไม่ต้องรอให้เจย์บอกว่าอยากจูบหรืออะไร ถ้าพี่อยากจูบเจย์ พี่จะทำก็ได้ เราเป็นแฟนกัน จูบกันได้ใช่ไหม”

 

ประโยคนั้นยังดังอยู่ในหัว ท่าทางการพูดของอีกฝ่ายก็ยังตรึงอยู่ในความทรงจำ ใบหน้าที่ทุกคนชื่นชม สายตาเด็ดเดี่ยว ประกายตาที่ตรงไปตรงมา และริมฝีปากสีแดงสดที่นุ่มนิ่มนั่น

 

ยองโฮหยิบหมอนใบหนึ่งมา เอามันปิดหน้า

 

ให้ตายเถอะ

ดูเหมือน จองแจฮยอนจะอันตรายกว่าที่เขาคิดไว้

 

วันที่สองของการเป็นแฟนกับ จอง แจฮยอน จบลงไปแบบนี้

 

 

TBC

 


 

20180524

พิมพ์บนรถทัวร์ตอนกลับบ้านจ้า กำลังมีไฟก็รีบ ๆ ปั่นนะคะ แต่ตอนนี้แบตคอมจะหมดแล้ว 555

ตอนนี้ดูเรื่องดำเนินไปไว แต่ไม่รู้ใครไวกว่ากัน ระหว่างคนจูบ กับคนลากเข้าห้องน้ำ /แค่ก ๆ

 

ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะคะ เห็นหมดเลย อ่านหมดด้วย มีกำลังใจมาก (ไม่งั้นจะไม่พิมพ์ต่อแล้วลงรัว ๆ แบบนี้ 555) รออ่านความคิดเห็นของทุกคนนะคะ

(สองวันยังขนาดนี้ กว่าจะครบเจ็ดวันจะขนาดไหน lol)

 

#wrficnct

#wrficnct – Seven Days – 1: MONDAY (Johnny/Jaehyun)

บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย, Y, BL
หากไม่ชอบกรุณากดปิด

บทความนี้เป็นเพียงเรื่องแต่งซึ่งเกิดจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล เหตุการณ์ หรือสถานที่จริงใด ๆ ทั้งสิ้น

Rating: PG
Category: M/M
Fandom: NCT
Relationships: Johnny/Jaehyun

Note: Seven Days by TAkARAI Rihito AU

Seven Days

Wirunyupha

1
MONDAY

 

 

 

“ถ้าแจฮยอนขอฉันเป็นแฟนตอนนี้ ก็จะเป็นคนแรกของอาทิตย์นี้ และ ใช่ ฉันจะตอบตกลง”

 

แจฮยอนไม่คิดว่ายองโฮล้อเล่นเลยสักนิด

 

นัยน์ตาของเขาเบิกกว้างเมื่อค่อย ๆ ทำความเข้าใจประโยคเมื่อครู่ เขาเห็นประกายตาจริงจังขณะถ้อยคำเหล่านั้นผ่านริมฝีปากของรุ่นพี่ตรงหน้าออกมา และยิ่งเชื่ออย่างสนิทใจว่ามันไม่ใช่คำพูดพล่อย ๆ เมื่ออีกฝ่ายเว้นจังหวะ เน้นคำว่า ตกลง จนราวกับว่ามันดังก้องอยู่ในห้องนี้

 

คนอายุน้อยกว่าอ้าปาก ทำท่าจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่มีเสียงใดเล็ดรอด ช่วงจังหวะที่ความเงียบค่อย ๆ โรยตัวลงมาราวกับจะดูดกลืนเสียงทั้งหมดให้หายไปจากโลก คงเหลือไว้เพียงประโยคของยองโฮดำเนินไปอย่างเชื่องช้าในความรู้สึกของแจฮยอน ก่อนที่มันจะถูกทำลายลงเมื่อเขากะพริบตา

 

แล้วประตูห้องก็เลื่อนเปิดออก

 

“แจฮยอน! พิซซ่ามาแล้–”

 

เสียงของคิมจองอูขาดหายไปในช่วงสุดท้าย และแจฮยอนห้ามไม่ทัน

 

ยองโฮหันไปมองประตูห้องชมรมที่มีรุ่นน้องตัวสูงยึนอึ้งอยู่ ในมือถือถาดพิซซ่าถาดใหญ่ พอเห็นหน้าเขา รุ่นน้องคนนั้นก็โค้งศีรษะให้ด้วยความตกใจ คนที่ตามมาข้างหลังอีกคนพอเห็นเขาก็หน้าตาตื่น แล้วโค้งให้เหมือนกัน

 

เขาหันกลับมามองรุ่นน้องฝั่งตรงข้าม ก่อนจะส่ายหน้าขำ ๆ

 

“นี่สินะที่บอกให้พี่ทำเป็นมองไม่เห็น”

 

แจฮยอนเงยหน้าควับ รู้สึกเหมือนประโยคเมื่อครู่มีอะไรไม่ถูกต้อง

 

…พี่?

 

แทนตัวเองว่า พี่?

 

“อ่า ใช่ครับ” เขาพยักหน้ารับ พยายามยิ้มกลบเกลื่อนสถานการณ์ “รุ่นพี่กินด้วยกันสิ”

 

“ค่าปิดปากเหรอ”

 

“…จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ”

 

ยองโฮหัวเราะ ทุกคนในห้องอึ้ง ปกติไม่ค่อยมีใครเห็นเขาหัวเราะหรอก แจฮยอนก็ไม่เคย ไม่ใช่เพื่อนร่วมชั้นเรียนกันจะไปเห็นตอนไหน ในชมรมก็ไม่ได้มีช่วงจังหวะให้หัวเราะกันเท่าไหร่

 

มองรอยยิ้มกว้างจนตาหยีแล้วทำให้แจฮยอนนึกถึงหมียักษ์ตัวใหญ่ แต่เขาไม่ได้พูดมันออกไป แค่อมยิ้มกับตัวเองแล้วกวักมือเรียกเพื่อนให้ลากเก้าอี้มานั่งด้วยกันที่โต๊ะ

 

เขาแนะนำโดยองกับจองอูให้ยองโฮรู้จักสั้น ๆ แล้วก็เริ่มปฏิบัติการณ์แบ่งพิซซ่าถาดใหญ่ พิซซ่าหน้าฮาวายเอี้ยนส่งกลิ่นหอมฉุย โดยองเขี่ยสับปะรดออกพลางทำหน้าแหย

 

“โดยองไม่ชอบสับปะรดเหรอ” ยองโฮเป็นคนถาม

 

“ไม่ชอบสับปะรดบนหน้าพิซซ่าครับ” คิมโดยองทำหน้าเหมือนกลืนยาขม “มันแปลก ๆ อะ”

 

“แล้วแจฮยอนล่ะ” คราวนี้หันมาถามเขา แจฮยอนที่เพิ่งกัดพิซซ่าคำโตเข้าไปยกมือขึ้นปิดปากพลางรีบละล่ำละลักตอบ

 

“กินได้หมดครับ”

 

“ไม่ต้องรีบก็ได้นะ เคี้ยวก่อนค่อยตอบก็ได้ ไม่ได้รีบขนาดนั้น”

 

แจฮยอนได้แต่หัวเราะเขิน ๆ ก่อนทั้งห้องจะเหมือนถูกแช่แข็ง เมื่อจู่ ๆ รุ่นพี่คนเดียวในห้องก็ยื่นนิ้วมา…จิ้มรอยบุ๋มข้างแก้มของแจฮยอน

 

“มีลักยิ้มด้วยเหรอ เพิ่งเคยเห็นชัด ๆ”

 

จองอูกับโดยองมองหน้ากันหน้าตาตื่น

 

แจฮยอนสะดุ้ง ยกมือกุมแก้มข้างที่โดนแตะเมื่อครู่อย่างตกใจ

 

“…ต้องจิ้มด้วยเหรอครับรุ่นพี่”

 

“แล้วพี่จิ้มแก้มแฟนตัวเองไม่ได้เหรอ”

 

“…”

 

“…”

 

“…”

 

เดี๋ยวนะ

 

พิซซ่าในมือแจฮยอนเกือบร่วง แต่พิซซ่าในมือจองอูร่วงกลับถาดไปแล้วเรียบร้อย โดยองนั่งสำลักอยู่ข้าง ๆ และไม่มีใครตอนนี้มีสติจะไปช่วยลูบหลังให้

 

แจฮยอนมองรุ่นพี่ที่ยังคงกินพิซซ่าต่อเหมือนไม่ได้เพิ่งปล่อยระเบิดลูกเท่าบ้านออกมา ซ้ำร้ายพออีกฝ่ายเห็นพวกเขานั่งนิ่งก็ถามกลับหน้าตาเฉย

 

“ไม่กินต่อกันเหรอ เดี๋ยวหมดพักเที่ยงนะ”

 

“อะ…ครับ”

 

เป็นโดยองกับจองอูที่มีสติแล้วกินต่อด้วยความเงียบงัน ส่วนแจฮยอนแม้ปากจะเริ่มเคี้ยวพิซซ่าต่อ แต่ใจหลุดลอยไปอยู่ตรงไหนแล้วเขาก็ไม่รู้

 

แฟน?

 

แฟน…?

 

พี่ยองโฮหมายถึงใคร?

 

เรา?

 

เราไปเป็นแฟนพี่ยองโฮตอนไหน???

 

หลากหลายคำถามวนเวียนอยู่ในหัวและชนกันโครมครามยุ่งเหยิงไปหมด แจฮยอนคิดว่าอาจมีอะไรบางอย่างเข้าใจผิด แต่อีกใจก็แปลกใจตัวเองว่านอกจากความรู้สึกตกใจ ลึก ๆ แล้วตัวเองกลับไม่ได้รู้สึกอยากปฏิเสธคำพูดของรุ่นพี่ยองโฮเลย

 

“แจฮยอน”

 

เสียงเรียกทำเอาเขาสะดุ้ง และคนเรียกก็คือรุ่นพี่ที่ยังวนเวียนอยู่ในความคิด เขาหันไปสบนัยน์ตาสีน้ำตาลของรุ่นพี่

 

“ครับ?”

 

“เย็นนี้กลับบ้านด้วยกันนะ”

 

ถ้าแจฮยอนกับยองโฮหันมามอง จะเห็นว่าโดยองกับจองอูนั่งจิกมือกันและกันอยู่ใต้โต๊ะแรงมาก พร้อมกับส่งสายตาหากันตลอด

 

มันอะไรกันวะ

 

“อ่า ครับ” แจฮยอนพยักหน้ารับ “คือ ผมขอถามอีกรอบได้ไหม พี่ยองโฮ

 

เขาลองเปลี่ยนสรรพนามดูบ้าง ยองโฮเลิกคิ้ว ก่อนจะพยักหน้ารับ “ว่า”

 

“ตกลงแล้ว ตอนนี้เราสองคนเป็น…”

 

“แฟน”

 

“ตั้งแต่…”

 

“ที่นายถาม”

 

อ่า ชัดเลย

 

แจฮยอนพยักหน้ารับอย่างเชื่องช้า ค่อย ๆ ซึมซับข้อมูลที่ทะลักทลายเข้ามาเบื้องหลังคำพูดนั้น ก่อนจะยิ้มกว้างให้คนอายุมากกว่า

 

“งั้นเย็นนี้แวะกินไอติมกันนะครับ”

 

“ได้สิ”

 

ยองโฮพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย

 

ส่วนจองอูกับโดยองตอนนี้มีประมาณล้านคำถามอยู่ในใจ

 

ไม่กี่นาทีถัดมา พิซซ่าก็เข้าไปอยู่ในท้องทั้งสี่คนจนหมดเกลี้ยง ยองโฮขอตัวขึ้นไปเรียนก่อน ปล่อยให้พวกแจฮยอนเก็บข้าวของและทำลายหลักฐาน

 

เมื่อยองโฮก้าวออกไปนอกห้อง ประตูห้องปิดลงได้ประมาณสิบวินาที คิมโดยองก็ตรงเข้าหาเพื่อนเจ้าปัญหาของตัวเองทันที

 

“จองแจฮยอน อธิบายมาเดี๋ยวนี้”

 

แจฮยอนที่ดูดโคล่าอยู่ทำหน้างง “อะไร”

 

“ยังจะมาอะไรอีก” จองอูตาถลนใส่เพื่อน “นายคือแฟนอาทิตย์นี้ของรุ่นพี่ยองโฮเหรอ!”

 

แจฮยอนถอนริมฝีปากออกจากหลอดดูดโคล่า ก่อนจะพยักหน้ารับ

 

“ใช่”

 

“ได้ไง!!?”

 

สองเสียงของชายหนุ่มสกุลคิมดังลั่น แจฮยอนยักไหล่

 

“เก็บของกลับไปเรียนกันเถอะ เดี๋ยวเข้าเรียนสายนะ”

 

เขายกโคล่าขึ้นดื่มอีกรวดเดียว แล้วหย่อนแก้วเปล่าใส่ถุงพลาสติก เดินนำออกจากห้อง ปล่อยให้เพื่อนทั้งสองอึ้งกับเรื่องราวที่เพิ่งได้รับรู้ต่อไป

 

เสียงสัญญาณเลิกเรียนดังขึ้น แจฮยอนยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจด้วยความอ่อนล้า แม้เขาจะเก่งวิชาภาษาอังกฤษ แต่นั่งนาน ๆ ก็เมื่อยใช่เล่น

 

“สรุปวันนี้” จองอูชะโงกหน้ามาหาเขา “จะกลับกับรุ่นพี่ยองโฮใช่ไหม”

 

แจฮยอนชะงัก เหมือนเพิ่งนึกได้ “อ่า ใช่ ต้องกลับกับพี่ยองโฮ”

 

“ใจคอจะไม่บอกจริง ๆ เหรอว่าเกิดอะไรขึ้น” โดยองถาม

 

แจฮยอนเกาแก้ม ใช่ว่าไม่อยากอธิบายหรือจะปิดบังอะไร แต่มันพูดยากเสียเหลือเกิน จะให้เขาเล่ายังไงดี มันเป็นความเออออตามกันไปโดยที่ไม่ได้นัดกัน แบบนี้เหรอ

 

ยังไม่ทันจะพูดอะไร เสียงกรี๊ดกร๊าดเบา ๆ ก็ดังมาจากประตูหน้าห้อง พวกแจฮยอนหันไปมอง แล้วก็พบต้นตอความคึกคักของห้องที่โผล่มาแบบไม่ทันตั้งตัว

 

“รุ่นพี่ยองโฮ” เสียงกระซิบกระซาบของสาว ๆ ในห้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “อาทิตย์นี้ใครเป็นแฟนพี่เขาอะ มีคนขอไปหรือยัง พวกเราลองดีไหม”

 

แจฮยอนหลุดขำเบา ๆ กับคำพูดนั้น ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้

 

“แจฮยอน”

 

แล้วยองโฮก็เรียกชื่อเขาออกมา

 

ทุกคนในห้องหันควับ เสียงจ้อกแจ้กสลายไปทันที แจฮยอนยิ้มแบบไม่เห็นฟันให้รุ่นพี่คนดัง แล้วหยิบกระเป๋าตัวเองมาสะพาย

 

“งั้นฉันกลับก่อนนะ” เขาบอกเพื่อนสองคนที่มองเขาสลับกับยองโฮไม่ละสายตา “พรุ่งนี้เจอกัน”

 

“เออ” โดยองกับจองอูพึมพำตอบรับ

 

แจฮยอนเดินฝ่าความสนใจของเพื่อนทั้งห้องตรงไปที่ประตูหน้า ยองโฮมองเขายิ้ม ๆ ทำเอารู้สึกใจเต้นขึ้นมาทันที

 

ถึงจะไม่ได้ชอบอะไร แต่มองอย่างนี้ก็เขินนะโว้ย

 

“เปิดตัวแบบคนดัง”

 

“มารับเจ้าชายแจฮยอนก็ต้องให้สมเกียรตินิดนึงสิ”

 

เขาตาโต “พี่รู้จักชื่อนั้นด้วยเหรอ”

 

“มีใครไม่รู้จักบ้างดีกว่า”

 

แจฮยอนถอนหายใจ กึ่งขำกึ่งเขิน ก่อนจะตาโตเมื่อยองโฮเอื้อมมือมาโอบไหล่เขาให้เดินออกจากตรงนั้น

 

“ไปเถอะ”

 

จริง ๆ การเดินโอบไหล่ก็เป็นสิ่งที่เขากับเพื่อนทำออกบ่อย แต่กับยองโฮมันต่างออกไป แจฮยอนเหลือบมองรุ่นพี่ที่เดินสบาย ๆ ข้าง ๆ อย่างไม่แน่ใจนัก ยองโฮตัวสูงกว่าเขา พอโดนโอบแบบนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองตัวเล็กลงไปเท่าตัวเลย

 

“ไอติมร้านไหนอร่อยเหรอ”

 

ยองโฮถามเขาขึ้นมา แต่แจฮยอนไม่ได้ตอบคำถามนั้น

 

“กับแฟนคนอื่นก่อน ๆ พี่ก็ทำแบบนี้เหรอ”

 

ยองโฮชะงัก

 

แจฮยอนช้อนตามองคนตัวสูงกว่า เขาเห็นสีหน้ารุ่นพี่เปลี่ยนไปชั่วขณะ

 

“หมายถึงยังไง”

 

“ก็…” แจฮยอนชี้มือที่ยังเกาะอยู่ที่ไหล่ของเขา “โอบไหล่แบบนี้”

 

ยองโฮส่ายหน้า “ทำแบบนั้นกับผู้หญิงตั้งแต่วันแรก ๆ ไม่ได้หรอก”

 

“แล้วกับผม…”

 

“อ่า…” ยองโฮละมือออก “ไม่ชอบเหรอ”

 

“คือ เปล่าครับ มันแค่ ยังไงดี” แจฮยอนเอียงคอไปมา “แปลก ๆ นิดหน่อย”

 

“ยังไงเหรอ”

 

ยองโฮดูสนใจการตอบคำถามของเขา ก้มหน้าลงมาฟังใกล้จนแจฮยอนแทบจะรู้สึกถึงลมหายใจอีกฝ่าย

 

“…ใกล้ไปไหมครับ”

 

“หอมจัง”

 

“ครับ?”

 

คำพูดที่โพล่งขึ้นมากะทันหันทำเอาแจฮยอนลืมสิ่งที่จะตอบไปเสียสิ้น แต่ยังไม่ทันพูดอะไรต่อ รุ่นพี่ยองโฮก็เดินดึงให้ถอยห่างเขาออกไป

 

“โอโห เพื่อนรัก นี่มันทางเดินบนอาคารเรียน” เสียงทุ้มของชายคนหนึ่งดังขึ้นมา เขาคือคนที่ดึงยองโฮออกไปพร้อมกับกอดคออย่างสนิทสนม “แล้ว นึกว่าสาวที่ไหน นี่มันเจ้าชายแจฮยอนคนดังนี่”

 

แจฮยอนเหลือบมองป้ายชื่อบนอกอีกฝ่าย คน ๆ นี้คือรุ่นพี่นากาโมโตะ ยูตะ ปีสาม

 

“สวัสดีครับ” เขาโค้งให้

 

ยูตะทำท่าแปลกใจ ก่อนจะหันกลับไปมองยองโฮที่หัวเราะหึ ๆ ในคอ

 

“อาทิตย์นี้คือคนนี้เหรอ”

 

ยองโฮกับแจฮยอนมองหน้ากัน

 

ก่อนแจฮยอนจะพยักหน้ารับ

 

“…นายขอไอ้บ้านี่เป็นแฟนเหรอ”

 

พอยูตะถาม เขาก็พูดไม่ออก เอาจริง ๆ คือไม่รู้ว่าควรจะตอบยังไง

 

เขาขอพี่ยองโฮเป็นแฟน? จะว่างั้นก็เหมือนจะใช่ แต่ตอนนั้นมันแค่สมมุตินี่นา คนที่ถือคำพูดของเขาเป็นจริงเป็นจังก็คือพี่ยองโฮเองนั่นแหละ

 

“จะมาอยากรู้อะไรล่ะ” ยองโฮดึงแขนเพื่อนออก แล้วขยับมายืนข้างแจฮยอน “จะกลับแล้วเหรอ ไว้เจอกัน”

 

“เออ แต่อย่ามาทำท่าอะไรแบบนั้นบนตึกอีกนะเพื่อน ขอเถอะ” ยูตะทำหน้าจริงจัง “แค่นี้ข่าวฉาวก็เยอะพออยู่แล้ว อย่าให้มีหลักฐานจริง ๆ เลย จะจบอยู่แล้ว”

 

แจฮยอนมองหน้ารุ่นพี่ข้างตัว ยองโฮพยักหน้ารับ

 

“ขอบใจที่เตือน”

 

“กลับ ๆ ไปเถอะ”

 

ยองโฮยกมือบอกลากเพื่อน ก่อนจะดันไหล่แจฮยอนให้เดินนำไปก่อน

 

พวกเขาเดินลงมาจนถึงชั้นล่างของอาคาร ต่างคนต่างแวะเปลี่ยนรองเท้าที่ล็อกเกอร์ ก่อนจะเดินออกมาเจอกันที่หน้าอาคาร

 

ท้องฟ้ายังคงสดใสเหมาะกับการลงไปวิ่งเล่นที่สนามเหมือนเมื่อเช้า แจฮยอนมองนักเรียนคนอื่นที่ใส่ชุดกีฬาแล้วนึกอยากเล่นอะไรสักอย่างบ้าง แต่เมื่อคิดถึงของกินแล้ว แน่นอนว่าเขาต้องเลือกอย่างหลัง

 

“พี่มีข่าวฉาวเยอะเหรอ”

 

พอยองโฮมายืนข้าง ๆ แจฮยอนก็ถามทันที

 

คนอายุมากกว่าสะดุ้ง หันมามองคนถามจนคอจะหลุด

 

“ปกติเป็นคนตรงไปตรงมาแบบนี้เลยเหรอ”

 

“พี่ไม่โอเคเหรอครับ”

 

“เปล่า แค่แปลกใจ ปกติไม่ค่อยได้คุยกัน ไม่รู้ว่าแจฮยอนเป็นคนแบบนี้”

 

คนที่ทำตัวเหนือความคาดหมายยิ้ม

 

“แล้วสรุปว่า เป็นคนมีข่าวฉาวเยอะจริงเหรอครับ”

 

ยองโฮยักไหล่ ขณะเริ่มเดินนำ “ก็เปลี่ยนแฟนอาทิตย์ละคน จะให้มีแต่ข่าวดี ๆ คงเป็นไปไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”

 

“ผมไม่รู้ว่าพี่มีข่าวฉาวเลยนะ ยกตัวอย่างได้ไหมครับ”

 

“คือต้องพูดให้ฟังจริง ๆ เหรอ”

 

“ก็อยากรู้นี่นา”

 

ยองโฮถอนหายใจ ไม่ได้ดูเบื่อหน่าย ติดจะขำเสียมากกว่า

 

“ก็…เคยโดนอาจารย์เรียกไปถามว่า ‘จูบกับเพื่อนผู้หญิงในห้องตอนคนอื่นไปเรียนพละ’ เหรอ”

 

แจฮยอนเลิกคิ้ว “เบากว่าที่ผมคิดไว้อีก”

 

“นี่คิดว่าพี่เป็นคนยังไงเนี่ย”

 

“ไม่มีความคิดในหัวเลยครับ เราไม่เคยคุยกันเลยนี่นา”

 

พอมาย้อนคิดดูแล้ว ช่วงเวลาที่เหมือนจะมีบทสนทนากันจริง ๆ จัง ๆ ก็แค่ตอนคุยกันเรื่องหนังสือในชมรม ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้รู้จักกันมากขึ้นสักเท่าใด

 

“งั้นวันนี้เรามาคุยกันเยอะ ๆ เป็นไง” ยองโฮเสนอ “กลับบ้านดึกได้ไหม”

 

“ไม่เกินสองทุ่มครับ เลี้ยงข้าวด้วยนะ”

 

ยองโฮทำหน้าเหมือนจะหัวเราะ “ดูชอบพวกอาหารจัง”

 

“มีใครไม่ชอบอาหารด้วยเหรอครับ เราต้องกินเพื่ออยู่นะ”

 

รุ่นพี่ไม่ได้ว่าอะไรกับคำพูดนั้น เพียงแต่หัวเราะออกมาเบา ๆ

 

 

ร้านไอติมที่แจฮยอนพายองโฮมากินอยู่ห่างจากโรงเรียนไปไม่ไกลนัก ยองโฮสั่งมาเพียงไอศกรีมหนึ่งสคูปสำหรับกินคนเดียว ขณะที่แจฮยอนสั่งพาร์เฟต์ชุดใหญ่มา นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายเมื่อไอศกรีมที่จัดตกแต่งอย่างอลังการมาวางตรงหน้า

 

“น่ากินจัง”

 

“หน้าตามีความสุขจนพี่อิจฉาไอศกรีมแล้วนะ”

 

แจฮยอนขมวดคิ้ว เบะปาก “เสี่ยวมากจริง ๆ อะ พี่ยองโฮ ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้”

 

ยองโฮหัวเราะ คราวนี้ดังกว่าปกตินิดหน่อย

 

แจฮยอนตักไอติมเข้าปาก รสสัมผัสของวานิลลาทำเอาเขาอยากจะกระโดดไปรอบร้าน ๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วทำได้เพียงส่งเสียงอื้ออึงในลำคอ รู้สึกเหมือนมีสวรรค์อยู่ในปาก ดีจนต้องหลับตาเพื่อดึงสัมผัสทั้งหมดมาที่ปลายลิ้น

 

เมื่อลืมตาขึ้นมา ยองโฮมองเขาอยู่

 

“…พี่ไม่กินเหรอครับ”

 

“เห็นนายกินอร่อยจนไม่กล้ากินของตัวเองเลย”

 

“เกินไปครับ”

 

ยองโฮตักไอติมเข้าปากอีกคำ แล้วก็เริ่มชวนคุย

 

“ได้ยินว่าเพิ่งเลิกกับแฟนเหรอ”

 

มือที่กำลังจะตักไอติมเข้าปากชะงัก แจฮยอนหรี่ตา

 

“มาถามเรื่องแบบนี้ตอนกินเลยเหรอครับ”

 

“ก็ตอนนี้แจฮยอนอารมณ์ดีที่สุดนี่นา อย่างน้อยถ้าหงุดหงิดก็มีของกินดับความหัวร้อนได้”

 

คนเป็นรุ่นน้องมองไอศกรีมตรงหน้า แล้วก็พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย

 

“เลิกกันได้พักหนึ่งแล้วครับ แต่ก็ยังเจ็บ ๆ อยู่นะ”

 

“เพราะงั้นเลยคิดเรื่องขอพี่เป็นแฟนเหรอ อยากลืมเขา?”

 

แจฮยอนส่ายหน้า กลืนไอติมเข้าปาก

 

“มันไม่มีใครแทนใครได้หรอกครับ”

 

“แล้วทำไมถึงคิดอยากขอพี่เป็นแฟนล่ะ” ยองโฮขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเมื่อถามคำถามนี้

 

“คนอื่นที่มาคบพี่ เหตุผลของเขาคืออะไรเหรอครับ”

 

“ชอบน่ะสิ” รุ่นพี่เว้นช่วงการพูด “แต่ดูยังไงนายก็ไม่ได้ชอบพี่แบบนั้น”

 

“แล้วพี่คิดว่าทำไมผมถึงถามพี่ไปแบบนั้นล่ะครับ”

 

“งั้นถ้าผมขอรุ่นพี่เป็นแฟน รุ่นพี่ก็จะตกลงเหรอครับ”

 

นึกถึงคำพูดของตัวเองเมื่อกลางวันแล้วแจฮยอนก็อยากเอาหน้าจุ่มไอศกรีม พูดตรง ๆ ก็อาย ไม่รู้ตอนนั้นคิดอะไรอยู่

 

อาจจะเป็นเพราะนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่เป็นประกายสีทองเมื่อล้อแสงแดดนั่น ไม่ก็ท่าทางที่ดูเหมือนจะไม่มีวันโกหกเขาของอีกฝ่ายก็ได้

 

หรืออาจจะเป็นเพราะคำพูดของซูยอง

 

“รู้ตัวไหมว่าเป็นคนอ่านยาก”

 

ยองโฮบอกเขา แจฮยอนเลิกคิ้ว

 

“พอรู้ครับ พวกโดยองเคยบอก แฟนเก่าผมก็พูด เขาบอกว่าผมเหมือนจะให้คนรู้จัก แต่ก็เหมือนไม่อยากให้คนรู้จัก”

 

“ถ้านายเป็นหนังสือ น่าจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในการอ่านเลยนะ”

 

“ประโยคสารภาพรักหรือไงครับ”

 

ยองโฮส่ายหน้าขำ ๆ แต่สายตาไม่ละไปจากเขาเลย “เรามาทำความรู้จักกันหน่อยดีไหม คุณแฟน

 

“กับแฟนเก่าคนอื่น พี่ทำยังไงเหรอครับ”

 

“ทำไมชอบพูดถึงคนอื่นจัง” ยองโฮสงสัย “นายน่าจะเป็นคนเดียวที่ชอบพูดถึงคนที่พี่เคยคบ อยากเปรียบเทียบอะไรหรือไง”

 

แจฮยอนส่ายหน้า “ผมก็แค่สงสัย พี่เปลี่ยนวิธีการเข้าหาคนที่เข้ามาขอคบกับพี่ตลอดเลยเหรอ”

 

“ก็ต้องดูว่าเขาเป็นคนยังไง”

 

“แล้วพี่เป็นคนยังไงกันแน่”

 

ไอศกรีมในถ้วยของยองโฮค่อย ๆ ละลายกลายเป็นของเหลว เขามองใบหน้าดูดีผิดมนุษย์มนาของรุ่นน้องตรงหน้าอย่างประหลาดใจ

 

“พี่น่ะ ดูแลทุกคน แต่ไม่ได้แสดงตัวตนของตัวเองออกมาเลยใช่ไหมครับ”

 

“…”

 

“งั้นเราก็คงไม่ต่างกันนักหรอก”

 

แจฮยอนพูดจบก็ตักไอติมอีกคำเข้าปาก

 

ยองโฮเห็นขนตายาวที่หลุบลงเล็กน้อยตอนที่อีกฝ่ายเอาแต่สนใจไอติมตรงหน้า ปลายจมูกโด่งเป็นสัน แจฮยอนเป็นคนแก้มเยอะแต่ไม่ได้ดูอ้วนอะไร กลับกันมันดูทำให้อีกคนดูเป็นมิตร โดยเฉพาะเวลายิ้มแล้วแก้มนุ่ม ๆ นั้นบุ๋มลงไปเป็นลักยิ้ม ไหนจะริมฝีปากแดง ๆ ตัดกับผิวขาวจัดที่คอยแต่จะหาอะไรกินอยู่ตลอดเวลานั่นอีก

 

เห็นในชมรมบ่อย รู้ว่าหน้าตาดี แต่ไม่เคยเห็นมุมนี้มาก่อน

 

เป็นคนน่ารักดี

 

“อ๋อ มีอีกเรื่อง” จู่ ๆ คนที่เขามองหน้าอยู่ก็เบนสายตากลับมา “ผมไม่ได้มีปัญหากับการที่พี่จะโอบมาอะไรหรอกนะ เอาจริง ๆ ก็ชิน ชอบโดนเพื่อนกอดประจำ แค่แปลก ๆ นิดหน่อย พี่ไม่ได้ทำงี้กับทุกคนใช่ไหมครับ”

 

ยองโฮยิ้มมุมปาก “พี่โตที่ชิคาโก้ก่อนจะย้ายมาเรียนม.ปลายที่นี่ ไม่ชินกับสกินชิปหรอก ปกติกับเพื่อนก็ไม่ค่อยทำ กับคนก่อน ๆ ที่เคยคบก็ไม่ พี่ให้เกียรติผู้หญิง”

 

แจฮยอนอมยิ้ม

 

“แต่กับนาย… ไม่รู้สิ เป็นคนที่เห็นแล้วรู้สึกอยากยื่นมือไปจับน่ะ”

 

“อาจจะเป็นเหตุผลที่โดยองกับจองอูชอบมาวอแวผมก็ได้”

 

“หวงได้ไหม”

 

“เป็นอะไรกันมาหวงครับ”

 

“เป็นแฟนไงครับ”

 

เห็นชัด ๆ ว่าแจฮยอนเขินนิดหน่อย ผิวแก้มขาว ๆ นั่นแดงเรื่อขึ้นมา

 

“ปกติเป็นฝ่ายไปจีบสาว พอโดนพูดแบบนี้ใส่เลยเขินสินะ”

 

“ลองนึกภาพว่าผมพูดงี้ใส่พี่ พี่จะเขินไหมล่ะครับ”

 

“ไม่เหลือ”

 

“ก็นั่นแหละ เลิกหยอดได้แล้ว ผมทำตัวไม่ถูก”

 

ยองโฮหลุดยิ้ม “แจฮยอนนี่น่ารักจัง”

 

คนฟังเหวอ “อะไรอะพี่ จู่ ๆ ก็พูดแบบนั้น”

 

“ก็มันจริง”

 

“ปกติมีแต่คนบอกว่าผมหล่อ เท่ อะไรแบบนี้”

 

“ก็หล่อนะ” ยองโฮพยักหน้ารับ “แต่มุมนี้ก็น่ารักดี ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ชักชอบแล้วสิ”

 

แจฮยอนจ้วงไอติมขึ้นกินเป็นสัญญาณว่าไม่อยากรับรู้อะไรชั่วขณะ ภาพนั้นทำเอายองโฮอดเอ็นดูไม่ได้

 

อาทิตย์นี้น่าจะสนุกแฮะ

 

 

“ตกลงว่า เพราะอะไรพี่ถึงเปลี่ยนคนคบไปเรื่อย ๆ แบบนี้เหรอครับ”

 

แจฮยอนกินไอติมหมดแล้ว และกำลังจะต่อของหวานเพิ่ม ซึ่งยองโฮไม่ได้ว่าอะไร เขาจัดการไอติมของตนเรียบร้อยแล้วเช่นกัน ระหว่างรอวาฟเฟิลราดน้ำผึ้งอะไรสักอย่างของแจฮยอนมาเสิร์ฟ คนเป็นรุ่นน้องก็ยิงคำถามสัมภาษณ์อีกรอบ

 

“คำถามที่พี่ถามไปนายยังไม่ตอบเลย ถามพี่กลับอีกแล้ว”

 

“งั้นผมจะตอบคำถามนั้นวันจันทร์หน้าแล้วกัน”

 

“ก็ได้”

 

“ทีนี้ตอบคำถามผมเถอะ”

 

ยองโฮยกมือขึ้นเท้าคาง ก่อนตอบ “ก็อยากรู้ว่าถ้าเราคบคนไปเรื่อยแบบนี้ สักวันจะเจอคนที่เราชอบจริง ๆ ได้ไหม”

 

“…ไม่เก็ต”

 

“ไม่ต้องเข้าใจก็ได้” ยองโฮว่า “ก็แค่ อยากรู้ว่าคนเราจะเปลี่ยนไปได้มากแค่ไหนตอนคบกับคนที่ตัวเองชอบ แล้วก็อยากรู้ว่าตัวพี่เองจะชอบใครสักคนจริง ๆ จัง ๆ ได้ไหม”

 

“ก็ยังไม่ได้สินะครับ ไม่งั้นผมคงไม่มานั่งตรงนี้หรอก”

 

ยองโฮหัวเราะ ไม่ปฏิเสธข้อสรุปนั้น

 

“นายเป็นคนแรกเลยที่พี่มาพูดอะไรแบบนี้ด้วย” เขาว่า “กับคนอื่นเขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก พอตกลงคบเป็นแฟนกัน ก็ต้องเอาใจเขา คอยดูแลเทคแคร์ ทำหน้าที่อย่างแฟนคนหนึ่งทำได้ เขาก็มีดูแลพี่ตอบบ้างนะ แต่ก็ไม่เคยเปิดใจคุยอะไรกันแบบนี้เลย”

 

ขนมเสิร์ฟลงบนโต๊ะพอดี แจฮยอนตาลุกวาวกับน้ำผึ้งที่ราดอยู่บนหน้าวาฟเฟิลโปะไอศกรีมวานิลลา หลังจากลองกินไปคำหนึ่งและทำท่ามีความสุขที่สุดในโลกไป ก็หันมาคุยกับเขาต่อ

 

“เอาจริง ผมรู้สึกเหมือนเราไม่ได้เดตกันอยู่เลยอะ เหมือนแค่จู่ ๆ ผมก็มีพี่อีกคนเข้ามาในชีวิต สถานะตอนนี้เหมือนเพื่อนมากกว่า”

 

“แล้วแบบไหนถึงเรียกว่าแฟนล่ะ”

 

แจฮยอนทำท่าคิดจริงจัง

 

“รักกัน มั้ง”

 

“งั้นพี่คงเป็นคนโสดมาตลอดแล้วล่ะ”

 

“โห อดีตแฟนพี่ได้ยินนี่เสียใจตาย ไม่เคยหลงรักใครเลยจริง ๆ เหรอ”

 

ยองโฮส่ายหน้า “ยังไม่เจอเลย”

 

“ถ้าเป็นผมจะเป็นยังไงนะ”

 

“ครับ?”

 

แจฮยอนเอาช้อนชี้ตัวเอง “ถ้าสมมุติพี่เกิดรักผมขึ้นมา จะเป็นยังไงนะ”

 

คนฟังหลุดยิ้มอีกแล้ว รู้สึกเหมือนตั้งแต่เจอรุ่นน้องคนนี้ เขายังไม่หุบยิ้มเลย

 

“โอกาสเป็นไปได้มันก็มี”

 

“ผมนึกภาพตัวเองรักพี่ไม่ออกเลยอะ”

 

“โอโห เจ็บ” ยองโฮทำท่ากุมอก “แต่ใครจะรู้ ครบอาทิตย์ไปเราอาจจะไม่อยากเลิกกันก็ได้”

 

“อาทิตย์เดียวเนี่ยนะ” แจฮยอนส่ายหน้า “ยาก”

 

“แต่ก็น่าลอง”

 

“ก็จริงครับ”

 

ยองโฮยื่นมือไปตรงหน้า แจฮยอนมองอย่างไม่เข้าใจนัก แต่ก็เอามืออีกข้างมาวาง

 

“สัญญาว่าสัปดาห์นี้จะเป็นแฟนที่ดีที่สุดในชีวิตแจฮยอนเลย ดีไหม”

 

มือที่ประสานกันเปลี่ยนเป็นนิ้วก้อยยื่นมาเกี่ยวกันไว้ แจฮยอนมองแล้วหัวเราะเบา ๆ

 

“โอเค งั้นผมก็สัญญาว่าสัปดาห์นี้จะเป็นแฟนที่ดีที่สุดในชีวิตพี่ยองโฮเลย”

 

คำพูดนั้นทำเอายองโฮรู้สึกเหมือนตัวเองจะยิ้มไปได้อีกสักสามปี

 

พอพวกเขาเกี่ยวก้อยกันเสร็จ แทนที่จะดึงมือกลับ ยองโฮกลับวางมือทาบทับมือเขาไว้บนโต๊ะ และแจฮยอนก็ไม่ได้คิดจะว่าอะไร

 

“พี่ยองโฮ”

 

“ครับ?”

 

จู่ ๆ แจฮยอนที่ตั้งหน้าตั้งตากินอย่างน่าเอ็นดูก็เรียกชื่อเขาขึ้นมา

 

“พี่เคยไปอยู่ชิคาโก้ ผมก็เคยไปอยู่อเมริกามาก่อนนะ ช่วงประถม แต่จำรัฐไม่ได้แล้ว”

 

“จริงเหรอ” ยองโฮถามอย่างสนใจ “สนุกไหมตอนนั้น”

 

“สนุกนะ เท่าที่จำความรู้สึกได้” แจฮยอนหัวเราะ “แต่ตอนนี้เลือน ๆ ไปเยอะแล้ว ภาษาอังกฤษก็แค่ดีกว่าคนอื่น แต่พูดไม่คล่องเท่าเมื่อก่อนแล้วล่ะ”

 

“You can talk to me.” ยองโฮเสนอตัว

 

“ขี้เกียจอะ” แจฮยอนตอบหน้าตาเฉย “แต่งี้พี่ก็ต้องมีชื่อภาษาอังกฤษใช่ไหม ตอนอยู่นั่น”

 

“อืม” ยองโฮพยักหน้ารับ “จอห์นนี่”

 

“ของผมคือเจย์”

 

“งั้นพี่เรียกนายว่าเจย์ได้ไหม”

 

แจฮยอนพยักหน้า “เอาสิ ผมก็จะเรียกพี่ว่าจอห์นนี่เหมือนกัน”

 

“มีชื่อเรียกเฉพาะด้วย สมเป็นแฟนกันจริง ๆ”

 

“เล่นเองชงเองงี้เหรอ” แจฮยอนหัวเราะ

 

พอแจฮยอนจัดการขนมอีกจานเสร็จพวกเขาก็ออกจากร้าน ยองโฮพาอีกคนแวะร้านหนังสือประจำ พวกเขาเดินวนกันในร้านแต่ไม่ได้หนังสือติดมือมาสักเล่ม สุดท้ายเลยนั่งรถบัสห่างออกมาจากโรงเรียนพอสมควรเพื่อหาข้าวเย็นกิน ตอนที่ออกจากร้านนาฬิกาบอกเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม นับว่าพวกเขาอยู่ด้วยกันนานพอสมควรเลย

 

“พี่ไม่ต้องไปส่งผมที่บ้านก็ได้นะ” แจฮยอนบอก เมื่อยองโฮทำท่าจะนั่งรถไฟไปกับเขาด้วย “เดี๋ยวกลับบ้านดึก”

 

“ดึกก็นอนบ้านเจย์เลยเป็นไง”

 

“ตลก แฟนกันวันแรกไหมล่ะ”

 

ยองโฮหัวเราะ เจ้าเด็กนี่น่ารักจริง ๆ นะ

 

“งั้นพี่ส่งที่สถานี พอเจย์ถึงแล้วก็ทักมาบอกพี่นะ”

 

“เดี๋ยวครับ” แจฮยอนยกมือขึ้นมาขัด “เราไม่มีเบอร์หรือช่องทางติดต่อกันเลยนะ”

 

ยองโฮทำท่าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ดูเหมือนพวกเขาจะคุยกันจนลืมนึกถึงว่าถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกันจะสื่อสารกันยังไง

 

ใช้เวลาไม่กี่นาทีในการแลกเบอร์และช่องทางติดต่ออื่น ๆ แจฮยอนมองรูปประจำตัวในแอปแชตสีเหลืองของรุ่นพี่ตรงหน้าแล้วหลุดขำ

 

“พี่ชอบไรอันเหรอ”

 

“มีคนบอกว่าเหมือนพี่อะ” ยองโฮว่า

 

“มีคนบอกว่าเจย์เหมือนพีชเหมือนกัน”

 

ยองโฮมองหน้าคนเด็กกว่า

 

“ตะกี้แทนตัวเองว่าเจย์เหรอ”

 

แจฮยอนทำหน้างง ก่อนจะตาโตขึ้นมา

 

“เฮ้ย ๆๆๆ ผมลืมตัวอะ ขอโทษครับ”

 

“ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” ยองโฮยิ้ม “พี่ชอบนะ แทนตัวเองว่าเจย์ น่ารักดี”

 

“…”

 

แจฮยอนหน้าแดงไปถึงใบหู โอเค นี่ขนาดยังไม่ได้ชอบอะไรกันนะ แต่เจอชมแบบนี้ตรง ๆ ใครไม่เขินก็เป็นตุ๊กตาหินแล้ว

 

“งั้นแยกกันเลยนะ ผมต้องกลับแล้ว” แจฮยอนรีบตอบ แต่ยองโฮคว้าแขนเขาไว้ก่อน

 

“ครับ?”

 

“แทนตัวเองว่าเจย์กับพี่นั่นแหละ ดีแล้ว”

 

เขาเงยหน้าสบสายตาของคนตรงหน้าแล้วก็ได้แต่อ้าปากพะงาบ ๆ ก้าวถอยออกมาด้วยพยายามผละออก แต่ยองโฮก็ไม่ปล่อยมือสักที

 

“โอเค ๆ” แจฮยอนยอมแล้ว “เจย์จะกลับแล้ว พี่จอห์นนี่ปล่อยมือเถอะ เดี๋ยวถึงบ้านดึกนะ”

 

ยองโฮปล่อยมือแต่โดยดี เจ้าเด็กลูกพีชย่นหน้าใส่เขา ก่อนจะโบกมือให้ “บายครับ” แล้วก็หันหลังวิ่งเข้าสถานีไป

 

เมื่อเงาร่างนั้นหายลับไปในฝูงชน ยองโฮจึงเดินกลับไปยังทางของตนบ้าง

 

 

แจฮยอนถึงบ้านตอนทุ่มครึ่ง เขาทักทายคุณพ่อคุณแม่เสร็จก็เข้าห้องตัวเอง เตรียมอ่านหนังสือ แต่นึกขึ้นได้ว่าต้องส่งข้อความบอกพี่คนนั้นเสียก่อน

 

ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพแล้วนะครับ

 

ยังไม่ทันวางมือถือลง เสียงข้อความตอบกลับก็ดังขึ้นมาทันที

 

พรุ่งนี้เจอกันครับ เจย์ 🙂

 

อิโมติค่อนหน้ายิ้มทำเอาคนอ่านเผลอยิ้มตามจริง ๆ แจฮยอนวางมือถือลง ถอนหายใจเบา ๆ แล้วเริ่มเปิดหนังสืออ่าน

 

วันแรกของการเป็นแฟนกับซอ ยองโฮ จบลงไปแบบนี้

 

TBC

 

 


 

20180523

 

ต้องมาอัปต่ออีกตอนเพราะมันยังไม่จบวัน 555

ชอบไม่ชอบยังไงก็คอมเมนต์บอกได้นะคะ รอคอยอ่านคอมเมนต์อยู่เสมอ /เกาะจอ

 

ขอให้ผลบุญจากการเขียนฟิคส่งผลให้ชีวิตเจริญก้าวหน้าด้วยค่า อาเมน

 

#wrficnct

#wrficnct – Seven Days – 0: INTRODUCTION (Johnny/Jaehyun)

บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย, Y, BL
หากไม่ชอบกรุณากดปิด

บทความนี้เป็นเพียงเรื่องแต่งซึ่งเกิดจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล เหตุการณ์ หรือสถานที่จริงใด ๆ ทั้งสิ้น

Rating: PG
Category: M/M
Fandom: NCT
Relationships: Johnny/Jaehyun
Note: Seven Days by TAkARAI Rihito AU

Seven Days

Wirunyupha

0
INTRODUCTION

 

 

 

“วันนี้วันจันทร์นี่นา”

 

คิม โดยอง พึมพำขึ้นมาท่ามกลางความเงียบของกลุ่มเพื่อนของเขา ขณะที่รอบข้างรายล้อมด้วยเสียงคุยจ้อกแจ้กราวกับนกกระจอกแตกรังของเพื่อนร่วมห้องเรียน สมกับเป็นวันเริ่มต้นสัปดาห์ที่ทุกคนจะมาอัปเดตชีวิตช่วงเสาร์อาทิตย์ให้เพื่อนของตนฟัง

 

“วันจันทร์แล้วไงอะ” จอง แจฮยอน เท้าคางมองเพื่อนสนิทอย่างไม่เข้าใจ

 

มันก็วันจันทร์อยู่ทุกสัปดาห์ มีอะไรแปลก?

 

โดยองกลอกตา ทำหน้าเหมือนกับว่าเขาได้ถามคำถามที่โง่ที่สุดในโลกออกไป ก่อนจะเปลี่ยนท่ามาทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ด้านหน้าโต๊ะของเขา จ้องตากับเขาเหมือนจะสะกดจิตให้จดจำทุกคำที่พูดลงไป

 

“รู้จักรุ่นพี่ยองโฮ ปีสามไหม”

 

แจฮยอนนิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “เคยเจอบ้าง อยู่ชมรมวรรณกรรมอังกฤษใช่ไหม”

 

พอได้ยินชื่อชมรม โดยองก็ทำหน้าเหมือนเพิ่งกินยาขมเข้าไป แต่สักพักก็โบกมือไปมาเหมือนอยากปัดความสยองเหล่านั้นออกจากตัว

 

“เคยได้ยินเรื่องที่พี่เขาควงสาวอาทิตย์ละคนไหม”

 

“ฮะ?”

 

แจฮยอนถึงกับส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ เขานึกภาพรุ่นพี่ ซอ ยองโฮ ที่ตัวเองเคยเห็น แล้วเปรียบเทียบกับคำพูดที่โดยองเพิ่งเอ่ยออกมา

 

ซอ ยองโฮ ปีสาม เป็นรุ่นพี่ตัวสูง แจฮยอนคิดว่าตัวเองสูงแล้ว แต่รุ่นพี่ยองโฮสูงกว่าเขาอีก ปกติเขาจะเจออีกฝ่ายแค่ตอนเข้าชมรม ซึ่งกิจกรรมชมรมของเขาก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการนั่งอ่านวรรณกรรมภาษาอังกฤษแล้วมาถกประเด็นต่าง ๆ กัน ความประทับใจของเขาต่อรุ่นพี่ยองโฮคงเป็นเรื่องความคิดอ่านที่ราวกับจะล้ำหน้าทุกคนในห้องไปหนึ่งก้าวเสมอ ทุกครั้งที่เจอกัน ถ้าไม่ใช่ช่วงวิเคราะห์งานเขียน ก็จะเห็นยองโฮนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะติดหน้าต่างด้านในสุดของห้อง ท่าทางเคร่งขรึมแต่ไม่ได้ดูเย็นชาหรือเข้าถึงได้ยาก บางครั้งที่เขาเผลอตัวจ้องอีกคนมากไป ยองโฮก็จะเงยหน้ามายิ้มน้อย ๆ ให้เขา แล้วก็ก้มหน้าไปอ่านต่อ ไม่ทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนมากเท่าไหร่

 

ทั้งหมดที่กล่าวมา ไม่มีอะไรเชื่อมโยงกับ ‘การควงสาวอาทิตย์ละคน’ ที่โดยองพูดออกมาเลย

 

“ทำหน้าเหมือนไม่เชื่ออะ”

 

“ก็ไม่เชื่อจริง ๆ”

 

“นี่ใคร นี่คิม โดยอง ว่าที่ประธานนักเรียนนะ”

 

“ยุ่งเรื่องชาวบ้านเก่ง จะพูดอย่างนั้นเหรอ”

 

โดยองยกสมุดมาม้วนแล้วตีเขาเบา ๆ

 

“เรื่องนี้ใคร ๆ ก็รู้ไหม ลองไปนั่งใกล้ ๆ กลุ่มผู้หญิงสักกลุ่มก็รู้แล้ว แทบจะเป็นหัวข้อสนทนาประจำสัปดาห์ ‘อาทิตย์นี้รุ่นพี่ยองโฮเดตกับใคร’”

 

แจฮยอนเลิกคิ้ว ทำหน้าให้ดูเหมือนสนใจที่สุด “แล้วยังไง”

 

“อะ ไม่อินสินะ”

 

“ไม่อะ เบื่อเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ” พูดจบก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ

 

โดยองมองหัวทุย ๆ ของเพื่อนแล้วยื่นม้วนสมุดไปเขี่ย ๆ เบา ๆ

 

“ยังไม่หายเจ็บหรือไง”

 

แจฮยอนเงยหน้าขึ้นมาสบตาเพื่อน ทั้งที่คางยังแนบอยู่กับโต๊ะ

 

“อกหักนะเว้ย ไม่ใช่วิ่งแล้วล้มเป็นแผลถลอก แผลใจหายยาก ไม่รู้หรือไง”

 

“รู้ แต่มันก็หลายวันแล้วนะ”

 

“เพิ่งอาทิตย์กว่า ๆ เองเถอะ”

 

คิดถึงแล้วแจฮยอนก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมานิดหน่อย แม้อากาศวันนี้จะสดใสจนน่าออกไปเล่นฟุตบอลกลางสนามแทนที่จะรอเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เขาเพิ่งเลิกกับแฟนเก่าไปได้อาทิตย์กว่า ๆ ด้วยเหตุผลว่า หล่อนไม่ได้รักเขาแล้ว และไปชอบเด็กโรงเรียนอื่นแทน

 

“ขนาดเจ้าชายแจฮยอนยังอกหัก พวกเราก็ไม่ต้องหวังแล้วมั้ง”

 

เสียงพูดแซวขำ ๆ ดังขึ้นทำเอาแจฮยอนหันควับไปมอง แต่พอเห็นว่าเป็นใครก็ถอนหายใจแล้วย่นจมูกใส่คนพูด

 

“เงียบไปเลย จองอู แล้วทำไมมาสายนัก”

 

“ก็ไปเจออะไรดี ๆ เลยขึ้นมาช้าน่ะ” จองอูพูดพลางวางกระเป๋าลงที่โต๊ะของตัวเอง ซึ่งอยู่ทางขวาของโต๊ะของแจฮยอน

 

“อะไรดี ๆ ที่ว่านี่คืออะไร” โดยองถาม

 

จองอูยักคิ้วหลิ่วตา ก่อนจะทำท่ากระซิบกระซาบให้ได้ยินแค่พวกเขาสามคน

 

“รุ่นพี่ยองโฮเพิ่งบอกเลิกแฟนของอาทิตย์ที่แล้วเมื่อกี้เลย”

 

แจฮยอนเบิกตากว้าง โดยองรีบถามต่อทันที

 

“ใครอะ”

 

“รุ่นพี่เบ จูฮยอน”

 

“หา!”

 

คราวนี้ทั้งห้องหันมามองพวกเขาทันที เพราะโดยองกับแจฮยอนพร้อมใจกันประสานเสียงร้องลั่น

 

“รุ่นพี่จูฮยอนอะนะ พระเจ้า” โดยองทำหน้าตาตื่นเหมือนกระต่ายตกใจ “ให้ตาย ระดับรุ่นพี่จูฮยอนยังมาเป็นแฟนอาทิตย์เดียวของรุ่นพี่ยองโฮเลยเหรอ นี่มันอะไรกัน”

 

อย่าว่าแต่โดยองที่ตกใจ แจฮยอนก็อึ้งไม่แพ้กัน เบ จูฮยอน ปีสาม เป็นสาวสวยหาตัวจับยาก อาจจะสวยที่สุดในเขตนี้เลยก็ได้ เป็นสาวในฝันของผู้ชายแทบจะทั้งโรงเรียน คนที่สวยสง่าเลือกได้ขนาดนั้น ยังมาคบกับคนที่เปลี่ยนแฟนอาทิตย์ละคนแบบรุ่นพี่ยองโฮอีกเหรอ

 

“ผู้ชายไม่เข้าใจหรอก” เสียงหนึ่งดังเข้ามาในวงสนทนาของพวกเขา ทุกคนหันไปมองตาม ก็พบร่างสูงสมส่วนของเพื่อนสาวร่วมห้องเรียน พัค ซูยอง

 

“ยังไงเหรอ” แจฮยอนถาม

 

ซูยองยืนกอดอก เอียงคอ ทำท่าคิดครู่หนึ่ง ก่อนอธิบาย

 

“การเป็น ‘แฟนอาทิตย์เดียว’ ของรุ่นพี่ยองโฮน่ะ เหมือนสวรรค์เลยนะ”

 

“ไม่เข้าใจ” โดยองกะพริบตาปริบ ๆ

 

“ก็จะอธิบายต่ออยู่นี่ไง” ซูยองกลอกตา ก่อนจะเรียบเรียงประสบการณ์ของตนอย่างค่อยเป็นค่อยไป “ฉันเคยเดตกับพี่เขาเมื่อต้นเดือนที่แล้ว ยังจำได้อยู่เลย การเดตกับรุ่นพี่ยองโฮ เราจะรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าหญิงเลย เขาทำทุกอย่างอย่างที่คนเป็นแฟนกันทำจริง ๆ ดูแลเราดีมาก ๆ อาทิตย์นั้นคืออาทิตย์ที่เหมือนฝันเลย”

 

“งั้นทำไมถึงเลิกกันล่ะ” แจฮยอนถามต่อ

 

ถึงตรงนี้ซูยองถอนหายใจ “เพราะไม่ได้รักล่ะมั้ง”

 

“อ้าว” คราวนี้เป็นจองอู “ถ้าไม่ได้รัก แล้วคบทำไมตั้งแต่แรก”

 

“มันเหมือนเกมนั่นแหละ รุ่นพี่ยองโฮจะตกปากรับคำขอเป็นแฟนของใครก็ตามที่ขอเขาเป็นคนแรกในวันจันทร์ ตอนแรกมันไม่มีความรู้สึกรักใคร่อะไรหรอก ฉันก็ชอบพี่เขาตอนนั้นเลยลองขอไป พอได้เดตกันก็รู้สึกว่าเขาดีกับเรามาก ๆ แต่มันก็ยังมีจุดที่รู้สึกว่าคงไปด้วยกันไม่ได้อะไรงี้ แล้วก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้รักเรา เขาแค่ดูแลเราตามหน้าที่แฟนอะ แต่ความรักไม่ใช่หน้าที่นี่ มันเป็นเรื่องของความรู้สึก”

 

ทุกคนอึ้งไป ขณะที่แจฮยอนครุ่นคิดคำบอกเล่าของเพื่อนอย่างสนใจ

 

‘รุ่นพี่ยองโฮจะตกปากรับคำขอเป็นแฟนของใครก็ตามที่ขอเขาเป็นคนแรกในวันจันทร์’

 

…งั้นเหรอ

 

 

“เที่ยงกินอะไร”

 

จองอูถามทันทีที่พวกเขาก้าวออกจากห้องเรียนเตรียมจะตรงไปยังโรงอาหาร โดยองทำท่าคิด แล้วหันมามองแจฮยอน

 

“พิซซ่า”

 

คำตอบของเขาทำเอาเพื่อนพูดไม่ออก

 

“พิซซ่าไม่มีขายในโรงเรียน”

 

“โทร.สั่งเอาสิ อยากกินอะ”

 

โดยองทำหน้าเหมือนอยากงับหัวเขาเข้าไปแทนอาหารกลางวัน ส่วนจองอูหัวเราะ

 

“แอบ ๆ สั่งเอาก็ได้ แต่จะกินที่ไหนไม่ให้โดนจับได้อะ”

 

“ห้องสภานักเรียน”

 

คราวนี้โดยองยกมือมาบีบแก้มเขาทันที

 

“อย่ามายุ่งกับห้องสภานักเรียนอันศักดิ์สิทธิ์ของฉัน”

 

“อ่อยอ๊ะ เอ็บบบบ” แจฮยอนพูดเสียงอู้อี้ โดยองจึงยอมปล่อย

 

“งั้นไปกินห้องชมรมวรรณกรรมอังกฤษก็ได้” เจ้าของความคิดเสนอ “เดี๋ยวฉันไปเคลียร์ที่ให้ก่อน จองอูโทร.สั่งเลย ไปรับด้วยนะ”

 

“ได้” เพื่อนตัวสูงอีกคนรับปาก “ไปกันเถอะ โดยอง”

 

แจฮยอนมองโดยองที่โดนจองอูลากไป เขาโบกมือขำ ๆ ให้เพื่อนแล้วตรงไปที่ห้องชมรมวรรณกรรมอังกฤษที่อยู่อีกตึกหนึ่ง

 

ปกติแล้วชั่วโมงชมรมจะเป็นบ่ายวันพฤหัสบดี แต่ทุกเย็นก็จะมีคนเข้า ๆ ออก ๆ ชมรมของตนเสมอ ชมรมของแจฮยอนก็เช่นกัน ทุกเย็นจะมีคนเข้ามายืม-คืนหนังสือของชมรมเป็นประจำ ส่วนกลางวันนาน ๆ ทีจะมีคนเข้ามาใช้เป็นที่อ่านหนังสือ แต่โดยปกติก็ไม่มีใครเข้ามานัก บางครั้งมันจึงเป็นที่นอนที่ยอดเยี่ยมของเขาและเพื่อน ถึงแม้แจฮยอนจะไม่เคยโดดเรียนเลย แต่การมีที่นอนไว้ในยามจำเป็นก็เป็นเรื่องที่ดี สมมุติว่าเพิ่งเลิกคาบฟิสิกส์ที่แสนน่าปวดหัวมา แล้วเขาต้องการชาร์จพลังเพื่อเรียนคาบบ่าย แค่การกินอาจไม่พอ การนอนที่เพียงพอก็จำเป็น

 

คิดอะไรเรื่อยเปื่อย รู้สึกตัวอีกทีขายาว ๆ ก็พาเจ้าของมาถึงหน้าห้องชมรม ป้ายสีน้ำเงินเข้มตัวอักษรสีขาวบอกชื่อ ‘ชมรมวรรณกรรมอังกฤษ’ มีโปสเตอร์กิจกรรมส่งเสริมการอ่านและการแข่งขันนอกโรงเรียนแปะอยู่ที่บอร์ดด้านหน้า แจฮยอนเปิดประตูเข้าไปด้วยความเคยชิน ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อพบว่าในห้องไม่ได้ว่างเปล่าอย่างที่ควรเป็น

 

เสียงเปิดประตูทำให้คนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะด้านในสุดติดหน้าต่างเงยหน้าขึ้นมา แจฮยอนมองสบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เลนส์แว่น ใบหน้าของคนที่พวกเขาเพิ่งพูดถึงเมื่อเช้ามีรอยยิ้มจาง ๆ แต้มขึ้นมา

 

“รุ่นพี่ยองโฮ…สวัสดีครับ”

 

เขาโค้งให้อย่างมีมารยาท เลื่อนประตูปิดตามหลัง ขณะที่เจ้าของชื่อยังคงรอยยิ้มบนหน้าแล้วเอ่ยตอบกลับมา

 

“ไง แจฮยอน”

 

เชี่ย เสียงนุ่มชะมัด

 

แจฮยอนนึกไม่ออกว่าตัวเองเคยสนทนาจริง ๆ จัง ๆ กับคนตรงหน้าไหม แต่อาจเป็นเพราะเรื่องเล่าเมื่อเช้า ทำให้เขามีฟิลเตอร์ว่ารุ่นพี่ยองโฮเป็นผู้ชายอบอุ่นอ่อนโยนขึ้นมาเสียอย่างนั้น

 

แต่ประเด็นในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องนั้น

 

“…รุ่นพี่ใช้ห้องอยู่เหรอครับ” แจฮยอนถามอย่างเกรงใจ

 

“ก็แค่อ่านหนังสือนิดหน่อยน่ะ ทำไมเหรอ นายจะใช้ห้องเหรอ”

 

แจฮยอนพยักหน้ารับคำถามนั้น

 

ยองโฮทำหน้าเข้าใจ “งั้นเดี๋ยวฉันออกไปก็ได้…”

 

“ไม่เป็นไรครับ” แจฮยอนรีบขัด “รุ่นพี่นั่งไปเถอะ แค่ทำเป็นไม่เห็นสิ่งที่พวกผมกำลังจะทำก็พอครับ”

 

“หือ?”

 

ยองโฮส่งเสียงประหลาดใจในลำคอ ทำเอาแจฮยอนได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ ไม่รู้จะอธิบายยังไง

 

เขายืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่นาน และยองโฮก็เอาแต่จ้อง ไม่ยอมอ่านหนังสือต่อเหมือนปกติสักที

“นั่งไหม” คนเป็นรุ่นพี่บุ้ยใบ้ไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

 

แจฮยอนรีบตอบรับแล้วตรงไปนั่งทันที

 

เมื่อสถานการณ์ทำท่าจะกลับมาเป็นปกติ ยองโฮก็เปิดหนังสืออ่านต่อ แจฮยอนใช้โอกาสนี้แอบสำรวจใบหน้าของชายหนุ่มผู้เปลี่ยนแฟนอาทิตย์ละคนอย่างสนใจ ปกติเขาไม่เคยมานั่งจ้องหน้ารุ่นพี่ยองโฮแบบนี้ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าคนหน้าตาแบบไหนกันที่ทำให้รุ่นพี่เบจูฮยอนถึงกับยอมคบเป็นแฟนอาทิตย์เดียว

 

ลาดหน้าผากรับกับสันจมูกโด่ง แพขนตายาวจนแทบจะชนกับเลนส์แว่นสายตา นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน–อ่อนกว่าคนเกาหลีทั่ว ๆ ไปที่เขาเคยเห็น–จับจ้องอยู่ที่หน้ากระดาษ และริมฝีปากอิ่มที่ปิดสนิท

 

“การเดตกับรุ่นพี่ยองโฮ เราจะรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าหญิงเลย เขาทำทุกอย่างอย่างที่คนเป็นแฟนกันทำจริง ๆ ดูแลเราดีมาก ๆ อาทิตย์นั้นคืออาทิตย์ที่เหมือนฝันเลย”

 

…ได้จูบกันหรือเปล่านะ

 

กับแฟนแต่ละอาทิตย์พวกนั้น

 

แล้วแจฮยอนที่กำลังเหม่อก็ต้องสะดุ้งเมื่อนัยน์ตาสีน้ำตาลย้ายจุดสนใจจากหน้ากระดาษมาเป็นตัวเขา เขารีบหลบสายตาทำเป็นมองตู้หนังสือที่อยู่อีกฟากของห้องทันที ยกมือข้างหนึ่งมาเท้าคางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วย

 

“เห็นนะว่ามองหน้าฉันน่ะ”

 

น้ำเสียงทุ้มเอ่ยกลั้วหัวเราะ ทำเอาแจฮยอนได้แต่ยิ้มแห้งให้

 

ทำไมพวกโดยองยังไม่มาอีกวะ

 

“มีอะไรหรือเปล่า” ยองโฮปิดหน้าหนังสือแล้วหันมาคุยกับเขา “ปกติก็เห็นว่าแอบมองนะ แต่ไม่มีครั้งไหนมาจ้องหน้าตรง ๆ แบบนี้เลย อยากถามอะไรฉันหรือเปล่า”

 

“…”

 

แจฮยอนพูดไม่ออก เขาเหลือบสายตาไปมา ขมวดคิ้วอย่างไม่แน่ใจ และสุดท้ายก็ถอนหายใจ

 

“รุ่นพี่”

 

“ว่า?”

 

“คือ… ผมเพิ่งรู้เรื่อง ‘แฟนอาทิตย์เดียว’ ของรุ่นพี่…”

 

เกิดความเงียบขึ้นมาชั่วขณะ แจฮยอนไม่กล้าสบตาคนอายุมากกว่าตรง ๆ เลย เขาใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะเบนสายตากลับไปที่ใบหน้าของคนฝั่งตรงข้าม

 

และพบกับรอยยิ้มนุ่มนวลเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นของรุ่นพี่

 

“คิดว่าไงล่ะ”

 

“ครับ?”

 

“เรื่องที่ฉันเดตคนไม่ซ้ำหน้ากันสักอาทิตย์แบบนั้น แจฮยอนคิดว่ายังไง”

 

ไม่รู้ทำไม แต่การเรียกชื่อเขาตรง ๆ ทำให้แจฮยอนรู้สึกขัดเขินขึ้นมา เขาเปลี่ยนท่าจากมือที่เท้าคางอยู่เป็นการเอามือมาวางบนตัก แล้วมองอีกฝ่ายอย่างไม่แน่ใจ

 

“คือ ผมตัดสินอะไรไม่ได้หรอก แต่คิดว่ารุ่นพี่คงคิดอะไรอยู่แน่ ๆ ถึงได้ทำแบบนั้น ปกติรุ่นพี่ก็มักจะคิดอะไรล้ำหน้าพวกเราไปก้าวหนึ่งอยู่แล้ว”

 

ยองโฮยิ้มกว้างขึ้นนิดหน่อย “เหรอ”

 

“แล้ววันนี้มีคนมาขอเป็นแฟนหรือยังครับ” แจฮยอนลองถามดู

 

ยองโฮยักไหล่ “พอบอกเลิกจูฮยอน ฉันก็หลบมาอยู่ในห้องนี้ตลอดเลย ยังไม่มีใครมาขอเลย”

 

‘รุ่นพี่ยองโฮจะตกปากรับคำขอเป็นแฟนของใครก็ตามที่ขอเขาเป็นคนแรกในวันจันทร์’

 

“งั้นถ้าผมขอรุ่นพี่เป็นแฟน รุ่นพี่ก็จะตกลงเหรอครับ”

 

เกิดความเงียบขึ้นมาอีกรอบ และกว่าแจฮยอนจะรู้ตัวว่าเพิ่งพูดอะไรออกไป เขาก็เห็นสีหน้าประหลาดใจของรุ่นพี่ยองโฮเสียแล้ว

 

ฉิบหายแล้ว ๆๆๆๆๆๆๆๆ พูดอะไรออกไปวะเนี่ยยยยยยย

 

“คือผม…” เขารีบละล่ำละลักแก้ตัว ทว่าคำพูดทั้งหมดก็หยุดลงเมื่อยองโฮเอ่ยปาก

 

“ใช่”

 

“…ครับ?”

 

ซอ ยองโฮ หันมาเผชิญหน้ากับเขาตรง ๆ ก่อนจะเอ่ยทวนประโยคซ้ำอีกครั้ง

 

“ถ้าแจฮยอนขอฉันเป็นแฟนตอนนี้ ก็จะเป็นคนแรกของอาทิตย์นี้ และ ใช่ ฉันจะตอบตกลง”

 

TBC


 

 

20180523

อยากเขียนตอนรอสอบใบขับขี่ค่ะ คืออะไร

ตอนที่เขียนอยู่นี้ ก็มีโมเมนต์จอห์นแจที่ญี่ปุ่นค่ะ T_T อห อยากกรี๊ด

จริง ๆ AU Seven Days นี่อยากเขียนมานานแล้ว แต่หาคาแร็กเตอร์ที่ใช่ไม่ค่อยได้ จนมาเจอจอห์นแจ น่าจะเหมาะนะคะ คิดว่า 🤔

ชอบไม่ชอบยังไง คอมเมนต์บอกกันได้น้า

ด้านล่าง ไม่ก็ #wrficnct เลยยยย

 

#wrficnct – The Colour of the Sky (Johnny/Jaehyun)

ทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย, Y, BL
หากไม่ชอบกรุณากดปิด

บทความนี้เป็นเพียงเรื่องแต่งซึ่งเกิดจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล เหตุการณ์ หรือสถานที่จริงใด ๆ ทั้งสิ้น

Rating: PG
Category: M/M
Fandom: NCT
Relationships: Johnny/Jaehyun

 

The Colour of the Sky

Wirunyupha

 

 


 

“ผมพยายามจะอธิบายความประทับใจแรกที่มีต่อเพื่อน ๆ ด้วยสีสันต่าง ๆ แจฮยอนเหมือนสีพาสเทล ไม่ใช่สีฟ้าเข้ม แต่ใกล้เคียงกับสีฟ้าของท้องฟ้าเสียมากกว่า สีของน้ำทะเลที่สว่างสดใสล่ะมั้งครับ เป็นความรู้สึกแบบนั้นแหละ” – จอห์นนี่ ซอ.  (2018, June).  ARENA HOMME+

 

tumblr_static_tumblr_static__640

 

ความอ่อนล้าสะสมจากการซ้อมติดต่อกันหลายชั่วโมงทำให้ซอ ยองโฮ แทบจะล้มลงกลางพื้นห้องเมื่อได้รับสัญญาณให้พัก เขาทิ้งร่างกายไร้เรี่ยวแรงลงข้างผนังห้องซ้อม มองเงาร่างตัวเองจากกระจกบานใหญ่สะท้อนให้เห็นเด็กหนุ่มสูงเกือบสองเมตรนั่งหอบหายใจอย่างหนักหน่วงอยู่ตรงนั้น ดูเป็นก้อนความสิ้นหวังอะไรสักอย่าง

 

ยองโฮเปรียบตัวเองเช่นนั้น ทุกครั้งที่ร่างกายอ่อนล้าถึงขีดสุด แต่ผลของความพยายามก็ยังไม่เป็นที่ประจักษ์ ไม่ว่าจะกับคนอื่น หรือแม้กระทั่งตัวเขาเอง

 

การเป็นเด็กฝึกเป็นความฝันเริ่มแรกของคนที่อยากเป็นไอดอล ยองโฮก้าวเข้ามาอยู่จุดนี้เร็วกว่าใคร ๆ แต่ก็ไม่มีวันไหนที่เขาจะได้ก้าวขึ้นไปสู่บันไดขั้นถัดไปเสียที เขาไม่รู้ว่าความยาวนานของช่วงเวลานี้จะดำเนินไปถึงไหน และทุกครั้งที่เขาหมดเรี่ยวแรงจากการทุ่มเทซ้อม มองดูเพื่อนที่ร่วมชะตากรรมกันมาทยอยเดบิวต์กันไป หรือบางคนทนไม่ไหวลาออกไปหาที่ที่เหมาะกับตัวเองมากกว่า ยองโฮได้แต่ถามตัวเองว่า เขากำลังทำอะไรอยู่

 

เขารอคอยอะไร โชคชะตาเหรอ โชคชะตาของเขาคืออะไรกันแน่

 

ยองโฮยกขวดน้ำที่ตนซื้อมาตั้งแต่ก่อนซ้อมขึ้นดื่ม เมื่อวางลง เขาเห็นความเคลื่อนไหวในห้องเปลี่ยนไป ทุกคนให้ความสนใจประตูทางเข้าห้องซ้อม แน่นอนว่าตัวเขาก็โดนบรรยากาศเช่นนั้นพาให้สายตาไปอยู่ตรงนั้นด้วย

 

“เด็กใหม่เหรอ”

 

“อืม เด็กฝึกใหม่ หน้าตาดีเชียว”

 

เขาได้ยินเสียงกระซิบกระซาบ พอพยายามจะชะโงกหน้าออกไปมอง สัญญาณให้เริ่มซ้อมอีกครั้งก็ดังขึ้น

 

ยองโฮถอนหายใจ ทิ้งขวดน้ำของตนไว้ที่ข้างผนัง แล้วลุกขึ้นขยับแขนขาต่อเหมือนไม่เคยเหนื่อยมาก่อน

 

 

นาฬิกาบอกเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม ยองโฮเดินออกจากห้องซ้อมพร้อมกับเสื้อผ้าชุดใหม่ ส่วนเสื้อผ้าที่ชุ่มเหงื่อก็จัดการเก็บใส่กระเป๋าเตรียมเอากลับไปซักที่หอ เขาเดินง่วงออกมาตามทางเดิน กะว่าจะแวะหาอะไรกินสักหน่อยก่อนกลับไปนอน หน้าตาที่ดูพร้อมจะกระทืบคนที่เข้ามาในรัศมีห้าสิบเมตรทำให้ทุกคนรีบเดินผ่านเข้าไปอย่างรวดเร็ว ยองโฮไม่ได้สนใจปฏิกิริยาพวกนั้น ใคร ๆ ก็รู้ว่าเด็กฝึกที่อยู่มายาวนาน ไม่ได้เดบิวต์สักที แล้วต้องมาซ้อมเป็นบ้าทุกวัน ถ้าให้อารมณ์ดีคิดบวกตลอดเวลาก็คงเป็นคนบ้าเท่านั้นแหละ

 

“เฮ้ย”

 

ยองโฮคิดว่าตัวเองก็เดินระวังประมาณหนึ่ง แต่คนข้างหน้าเขาคงไม่ทันมอง (ถึงเขาจะมั่นใจว่าตัวเองเด่นมากก็ตาม — สูงจะสองเมตรแล้วนะ) ถึงได้เดินมาชนแขนเขาเต็ม ๆ ยองโฮขมวดคิ้ว หันควับไปมอง สิ่งแรกที่เขาเห็นคือกลุ่มผมสีเข้มที่อยู่ประมาณช่วงจมูกของเขา

 

หืม?

 

ด้วยส่วนสูงที่มากกว่าคนอื่น ทำให้คนทั่วไปมักอยู่ในระดับคางของยองโฮ หรือต่ำกว่านั้น ไม่ค่อยมีคนที่อยู่ถึงระดับจมูก และนั่นทำให้เขารู้ว่า คนที่เดินชนเขาคงสูงพอสมควร

 

คน ๆ นั้นสวมชุดนักเรียนอยู่เลย และเอาแต่ก้มหัวให้เขาด้วยท่าทางสำนึกผิด พอเงยหน้าขึ้นมาสบตากัน ยองโฮก็อึ้งไปพักหนึ่ง

 

สีฟ้า

 

ไม่ใช่นัยน์ตาของเด็กคนนั้น มันเป็นสีน้ำตาลเข้ม แต่บรรยากาศรอบตัวของเด็กตรงหน้าทำให้เขานึกถึงสีฟ้า

 

ไม่ใช่สีฟ้าเข้ม แต่เป็นสีฟ้าของน้ำทะเล สีฟ้าพาสเทล สีฟ้าที่ให้ความรู้สึกสดใสและนุ่มนวล

 

“ขอโทษจริง ๆ ครับ ผมไม่ทันมอง”

 

ยองโฮนิ่งค้าง มองตากลมที่เต็มไปด้วยความกังวล นิ้วเรียวของคนตรงหน้ายกขึ้นเกาแก้มตัวเองราวกับขัดเขิน กว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองใช้เวลานานเกินไปในการพินิจพิเคราะห์ปลายนิ้วที่สัมผัสผิวละเอียดของอีกฝ่าย เขาก็ได้ยินเสียงนุ่มนั้นเอ่ยอีกครั้ง

 

“เอ่อ… ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ”

 

“…อืม” ยองโฮตอบรับในลำคอ “หน้าไม่คุ้นเลย เพิ่งมาใหม่เหรอ”

 

สีหน้ากังวลของเด็กตรงหน้าหายไป กลายเป็นท่าทางกระตือรือร้นแทน นัยน์ตาเป็นประกายสดใส ขณะโค้งศีรษะให้เขาอย่างนอบน้อมแล้วเอ่ยแนะนำตัว

 

“จอง ยุนโอครับ”

 

ยองโฮไม่ค่อยชินกับท่าทางเช่นนี้นัก แม้เขาจะมาอยู่เกาหลีได้สักพักแล้ว ชายหนุ่มจึงเลือกยื่นมือไปหาอีกฝ่ายแทน

 

ยุนโอมองมือของเขาอย่างประหลาดใจ แต่ก็ยกมืออีกข้างมาจับตอบได้อย่างถูกต้องตามธรรมเนียมสากล

 

“ฉัน ซอ ยองโฮ เรียกจอห์นนี่ก็ได้ มาจากชิคาโก้”

 

นัยน์ตาคู่นั้นดูจะเป็นประกายมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม มันทำให้ยองโฮนึกถึงผิวของน้ำทะเลที่เป็นระลอกคลื่นแล้วต้องแสงสะท้อนของดวงอาทิตย์จนเป็นประกายระยิบระยับ

 

“ผมเคยไปอยู่อเมริกา แต่มันนานมากแล้ว ยินดีที่ได้รู้จักครับ พี่ยองโฮ”

 

รอยยิ้มกว้างประดับใบหน้า ยองโฮมองตาที่เป็นเส้นโค้ง และรอยบุ๋มข้างแก้มของคนตรงหน้าแล้วอดยิ้มตามไม่ได้

 

“ยินดีเช่นกัน ยุนโอ”

 

ตอนนั้น ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของยองโฮ

 

ถึงวันของเขาจะมืดหม่น แต่ถ้าได้อยู่ใกล้ ๆ ยุนโอ วันที่ย่ำแย่เหล่านั้น ก็อาจจะดีขึ้นมาได้ทันทีเลยก็เป็นได้

 

แค่มีจองยุนโออยู่ใกล้ ๆ

 

เป็นท้องฟ้าสีพาสเทลของเขา.

 

 

FIN

 


 

 

20180521

เห็นโควตข้างบนก็คงเดาได้มั้งคะว่าฟิคมันเกิดจากอะไร 555

จริง ๆ พวกนี้ก็มโนล้วน ๆ เพราะเราไม่ได้อยู่ตรงนั้นด้วย 55 แต่น้องแจนก็เป็นคนที่เห็นแล้วให้ความรู้สึกด้านบวกอยู่เสมอเลย

 

คอมเมนต์ได้ด้านล่าง หรือ #wrficnct นะคะ

#wrficnct – Boyfriend (Jaemin/Mark)

บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย, Y, BL
หากไม่ชอบกรุณากดปิด

บทความนี้เป็นเพียงเรื่องแต่งซึ่งเกิดจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล เหตุการณ์ หรือสถานที่จริงใด ๆ ทั้งสิ้น

Rating: PG
Category: M/M
Fandom: NCT
Relationships: Jaemin/Mark

 

Boyfriend

Wirunyupha


 

อีมินฮยองถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยของวัน เขาหลับตาแล้วค่อย ๆ ลืมขึ้น มือคลำวนอยู่ที่หัวตาด้วยความอ่อนล้า นาฬิกาดิจิทัลบนจอคอมพิวเตอร์บอกเวลาเกือบเจ็ดโมงเช้าแล้ว นี่เขาปั่นงานจนไม่ได้หลับได้นอนอีกแล้วเหรอ

ตระหนักถึงความบ้าพลังของตัวเองแล้วก็ชักหวั่น มินฮยองจัดงานเซฟงานขึ้นไดรฟ์เตรียมนำไปปรินต์ที่ร้านในมหาวิทยาลัย แล้วลางสังหรณ์ของเขาก็เป็นจริงในวินาทีถัดมา

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แน่นอนว่าไม่ใช่เสียงนาฬิกาปลุก

หน้าจอปรากฏชื่ออันคุ้นเคยที่ทำให้เขาต้องถอนหายใจเป็นรอบที่หนึ่งร้อยเอ็ด แต่ก็ยื่นมือไปกดรับทันที

“ว่าไง”

“รับเร็วจัง” ปลายสายทำเสียงประหลาดใจ “อย่าบอกผมนะว่าพี่ยังไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืน”

“…”

มินฮยองไม่ตอบ แต่ให้ความเงียบเป็นการยอมรับ

“…” ปลายสายก็เงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง “เดี๋ยวผมไปรับ วันนี้เรียนแปดโมงครึ่งใช่ไหม”

“อืม…”

“อีกครึ่งชั่วโมงเจอกัน”

แล้วสายก็ตัดไป

มินฮยองเกาหัวตัวเอง เห็นทีเขาคงทำอะไรไม่ได้นอกจากอาบน้ำแต่งตัว รอให้คน ๆ นั้นมารับนั่นแหละ

 

 

 

 

.

ครึ่งชั่วโมงถัดมา รถยนต์สีดำของนาแจมินจอดรถเทียบหน้าหอพักของเขา ตรงเวลาเหมือนที่เคยเป็นมาตลอด

พอมินฮยองเดินเข้าไปใกล้รถ ก็ได้ยินเสียงปลดล็อก เขาเปิดประตูเข้าไปนั่ง เครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำปะทะใบหน้า แจมินประจำอยู่ที่ที่นั่งคนขับ สวมแว่นสายตาและมองตรงไปบนถนนตรงหน้า

“เอ่อ…”

ไม่มีคำทักทายสักคำ

มินฮยองไม่ทันเอ่ยอะไรอีก แจมินก็เหยียบคันเร่งพารถกลับสู่ถนนเส้นหลักมุ่งหน้าสู่มหาวิทยาลัย มินฮยองควานหาเข็มขัดนิรภัยมาคาด ในใจรู้สึกผิดจนไม่กล้าขัดบรรยากาศนิ่งเงียบของคนข้างกายขึ้นมาเลย

ไม่ต้องพูดเขาก็รู้ แจมินโกรธมาก เรื่องที่เขาทำงานจนไม่ยอมหลับยอมนอน

รถแล่นเรื่อยมาจนถึงสี่แยก แจมินจอดรถตามสัญญาณไฟ ส่วนมินฮยองนั่งกุมมือ ไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นบทสนทนาอย่างไร

“วันนี้ส่งงานเหรอครับ”

กลับเป็นคนอารมณ์ไม่ดีที่เริ่มก่อน

มินฮยองละล่ำละลักตอบกลับไป “อื้ม รายงานภาษาอังกฤษ”

“เห็นทำมาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว เพิ่งเสร็จเอาเมื่อเช้าเหรอครับ”

“…”

รู้สึกเหมือนโดนอาจารย์ดุอยู่เลยอะ

มินฮยองเจ็บปวดใจเหลือเกิน แต่ทำได้แค่ยิ้มแห้ง ๆ

“ก็…ฉันหัวแล่นตอนกลางคืนนี่นา”

แจมินไม่พูดอะไรอีก สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว รถจึงทะยานสู่มหาวิทยาลัยต่อไป

 

 

 

 

.

ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงมหาวิทยาลัย แจมินจอดรถในที่ประจำใกล้กับคณะของพวกเขา ทว่าเมื่อดึงเบรกมือขึ้น กลับยังไม่ดับรถ

มินฮยองหันไปทำหน้างงใส่คนอายุน้อยกว่า

“ไม่รีบขึ้นไปเรียนเหรอ”

“อีกตั้งชั่วโมง พี่จะไปเปิดห้องเรียนหรือไง”

“ก็จะไปปรินต์งาน…”

“ผมโกรธ”

แจมินโพล่งขึ้นมา ก่อนจะเบนสายตามามองเขา

แม้จะคบกันมาได้หลายเดือนแล้ว แต่สายตาของนาแจมินก็ยังคงเป็นสิ่งที่มินฮยองไม่อาจต้านทานได้ เคยมีคนบอกเขาว่า เสน่ห์ของแฟนหนุ่มของเขาคือรอยยิ้มและนัยน์ตา ก่อนหน้านี้มินฮยองไม่เคยเชื่อเลย จนมาเจอกับตัวเองจึงได้ตระหนักว่า สายตาของแจมินไม่ได้แค่เต็มไปด้วยเสน่ห์ล้นเหลือ แต่ยังสร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับคนที่เขาไม่พอใจได้ด้วย

ปกติมินฮยองไม่เคยได้รับสายตาเช่นนี้ ยกเว้นตอนที่เขาดื้อมากจริง ๆ

“ขอโทษ…” เขาพูดเสียงอ่อน

“รู้ใช่ไหมว่าผมโกรธเรื่องอะไร”

“เรื่องที่ไม่ดูแลตัวเอง”

“ผมบอกกี่รอบแล้ว ทำไมพี่ชอบฝืนตัวเองแบบนี้ แล้วจะเรียนรู้เรื่องได้ยังไง”

มินฮยองหน้ามุ่ย เถียงอะไรไม่ออกสักคำ ยิ่งเห็นสายตาดุ ๆ ใต้กรอบแว่นของแจมินบวกกับความง่วงจากการนอนไม่พอ เขาจึงทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ

แจมินถอนหายใจ ก่อนจะเอี้ยวตัวไปเบาะหลัง ควานหาอะไรบางอย่างมายื่นให้เขา

มินฮยองมองของตรงหน้าอย่างประหลาดใจ

“ดื่มก่อนขึ้นไปเรียน ข้าวพี่ก็ยังไม่ได้กิน ผมซื้อคิมบับไว้ให้ในนี้” ถุงพลาสติกจากร้านสะดวกซื้อถูกยื่นมาให้ “กินด้วยนะ ถ้าไม่กินผมโกรธจริง ๆ ด้วย”

“…นี่ก็โกรธอยู่ไม่ใช่หรือไง”

“มินฮยอง”

แจมินเรียกเขาเสียงเข้ม จนเจ้าของชื่อได้แต่ยิ้มแห้งใส่ แล้วรับของพวกนั้นมาด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างแท้จริง

“ขอบคุณมากนะ”

“ถ้าพี่ไม่มีแฟนแบบผมนี่คงแห้งตายคาหอไปแล้ว”

“จ้า แจมินเป็นแฟนที่ดีที่สุดเลย”

พอเขาพูดแบบนั้น แจมินก็หลุดรอยยิ้มเล็ก ๆ ออกมา ทำเอามินฮยองยิ้มตาม

“หายโกรธแล้วนะ”

“พี่ก็อย่าดื้ออีกแล้วกัน”

มินฮยองไม่กล้ารับปาก และแจมินก็รู้ดีด้วยว่าเขาไม่มีทางทำเช่นนั้นได้ ตารางชีวิตการทำงานของมินฮยองไม่ค่อยเหมือนชาวบ้าน มีไอเดียตอนดึก ปั่นงานข้ามคืน แล้วแหกตาไปเรียน เสร็จแล้วค่อยกลับมานอนตอนกลางวัน ใช้ชีวิตเป็นค้างคาวไปได้

“เช้านี้แจมินก็มีเรียนใช่ไหม”

แต่แจมินกลับส่ายหน้า “มีตอนบ่ายครับ พี่เลิกเรียนแล้วบอก เดี๋ยวมารับไปกินข้าว แล้วไปส่งนอนที่หอ”

มินฮยองพยักหน้ารับ ทำท่าจะเปิดประตูออกไปแล้ว แต่แจมินคว้าข้อมือเขาไว้ก่อน

มินฮยองกะพริบตาปริบ ๆ ใส่ “อะไร”

แจมินยิ้มหวานใส่เขาขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย และมินฮยองรู้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้น

คนอายุน้อยกว่าเคลื่อนหน้ามาใกล้แล้วกดจูบเบา ๆ ลงบนริมฝีปากเขา เป็นจูบที่เหมือนการทักทายกึ่ง ๆ จะหยอกล้อ ใช้เวลาไม่นานก็ผละออกไป

“ตั้งใจเรียนนะครับ”

มินฮยองพยักหน้ารับ พึมพำเสียงเบาว่า “นายด้วย” แล้วรีบหอบข้าวของพร้อมกับหน้าร้อน ๆ ของตัวเองลงจากรถไป

เมื่อเขาหันหลังกลับมามองรถของแจมิน มินฮยองก็อ้าปากค้าง

…รถแจมินฟิล์มใสจนเห็นรอยยิ้มกว้างที่ประดับอยู่บนหน้าของเจ้าของรถอย่างชัดเจน

ไม่ต้องเดาเลยว่าเหตุการณ์เมื่อครู่จะมีใครเห็นไปแล้วบ้าง

โอ๊ย นาแจมินนนนนนนนนนน!!!

มินฮยองได้แต่กรีดร้องอยู่ในใจ

 

 

 

 

FIN


 

20180504

ฉันรักน้องแจมินที่เป็นแฟนหนุ่มแบบนี้ T_T

ใช่ค่ะ ดิฉันเป็นลัทธิ top!Jaemin

เยิฟ

Screen Shot 2561-05-03 at 18.40.36.png

คอมเมนต์ได้ที่นี่ หรือ #wrficnct เหมือนเดิม คอมเมนต์เถอะ เราชอบอ่าน