#108MISSIONSWITHMARKSON ep.1

#108missionswithmarkson

Episode 1

 

บรรยากาศรอบด้านมืดสนิทมีเพียงแสงไฟจากเสาไฟข้างถนนที่พอจะให้ความสว่างได้บ้าง มาร์คห่อตัว มือทั้งสองข้างซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ต ใบหน้าครึ่งหนึ่งอยู่ใต้ผ้าพันคอสีเข้ม เห็นปลายจมูกขึ้นสีเรื่ออยู่แวบ ๆ ขณะที่แจ็คสันที่เดินอยู่ข้าง ๆ มีรอยยิ้มกว้างประดับใบหน้า มือข้างหนึ่งซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ตเช่นกัน ส่วนอีกข้างถือไม้เซลฟี่ เขาเหลือบมามองคนเป็นรุ่นพี่แล้วหันกลับมาหากล้องที่ตนถืออยู่

“สวัสดีครับ” เสียงของชายหนุ่มค่อนข้าง ๆ เบา และเหมือนจะรู้ตัว เขาเลยพูดให้ดังขึ้นอีกหน่อย “พวกเราแจ็คสัน และ…”

“มาร์คครับ”

“จากก็อตเซเว่น” หนุ่มฮ่องกงยิ้มจนตายิบหยี “วันนี้พวกเราเริ่มทำภารกิจแรกที่ทุกคนเสนอมา อ้อ ตอนนี้ทุกคนอยู่กับรายการ 108 Missions with Markson นะครับ”

สำเนียงภาษาอังกฤษชัดแจ๋วชวนฟัง ขณะที่ปากพูดไป สายตาก็เหลือบมองคนข้าง ๆ ที่ดูหนาวอยู่ตลอดเวลา เห็นแล้วอดคว้ามือข้างหนึ่งของมาร์คมาใส่กระเป๋าเสื้อตัวเองไม่ได้ มาร์คมองหน้าเขางง ๆ ขณะที่แจ็คสันพูดต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“อากาศเย็นมากเลยครับ และตอนนี้ก็เพิ่งจะตีสี่เอง พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเลย และก็ไม่แน่ใจด้วยว่าจะมีคนดูพวกเราอยู่ไหมตอนนี้”

“มีคอมเมนต์อยู่นะ” มาร์คพึมพำ “นั่นไง น่าจะเป็นฝั่งอเมริกา ตอนนี้ทางนั้นน่าจะประมาณสี่โมงเย็น”

แจ็คสันทำหน้าเข้าใจ แล้วหันไปยิ้มกว้างกว่าเดิมให้กล้อง “Hi! US Fans! If you’re watching. We’re Makrson!”

มาร์คหัวเราะ แล้วขยับไปเดินใกล้ ๆ แจ็คสันอีกนิดเพราะแขนข้างหนึ่งของตนอยู่กับแจ็คสัน พวกเขากำลังเดินขึ้นไปตามเนินเขา

“สำหรับภารกิจวันนี้” มาร์คเกริ่นขึ้นมา “คือ…อ่า อะไรนะ แจ็คสัน”

“ดูพระอาทิตย์ขึ้น”

“ใช่ ๆ ดูพระอาทิตย์ขึ้น” มาร์คพยักหน้าหงึกหงัก “จริง ๆ ในภารกิจที่แฟน ๆ ขอมาเขียนว่าให้ไปปีนเขาด้วย แต่พวกเราคงไม่สะดวกทำช่วงนี้”

“ใช่” แจ็คสันว่าต่อ “ไปปีนเขานี่ต้องไปหลาย ๆ วันหน่อย จริง ๆ ผมกับมาร์คก็อยากไปนะ แต่ตอนนี้ไม่ว่างกันจริง ๆ นี่ตอนบ่ายผมมีอัดรายการด้วย อย่าลืมติดตามกันนะครับ!”

“ส่วนฉันก็นอนเล่นกับโคโค่อยู่ที่ห้องเหมือนเดิม”

“ก็เข้าไปซ้อมที่บริษัทสิ”

“ก็ต้องไปอยู่แล้วสิ”

“เอาโคโค่ไปด้วยดิ จะได้ไม่เหงา”

มาร์คเลิกคิ้ว แต่ไม่พูดอะไรต่อ ขณะที่กล้องก็ยังถ่ายไปเรื่อย ๆ พวกเขาก็ยังสาวเท้าเร็ว ๆ ขึ้นไปตามเนินเขา อากาศแบบนี้ไม่สมควรจะเดินอ้อยอิ่งอย่างยิ่ง ลมพัดมาทีมาร์คแทบกรี๊ด นึกถึงตอนไปช่วยแจ็คสันขนถ่านในรายการรูมเมทเมื่อปีก่อนเลย

“ถ้าเดินขึ้นไปเรื่อย ๆ จะมีจุดชมวิวอยู่ครับ” แจ็คสันอธิบายขึ้นมา “แถวนี้อยู่ไม่ห่างจากหอพวกเราเท่าไหร่ ใครมาตามพวกเราหน้าตึกก็ลองมาแถวนี้ดูก็ได้ครับ สวยดี ผมกับมาร์คเคยมาด้วยกันเมื่อนานมาแล้ว”

“ตั้งแต่เป็นเด็กฝึก”

“ใช่ ๆ จำได้ด้วยเหรอ”

“จำได้สิ”

คำตอบสั้น ๆ แต่เรียกรอยยิ้มเขิน ๆ จากคนฟัง ซึ่งแจ็คสันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองเขินอะไร ชายหนุ่มหันกลับมาหากล้อง

“อีกนิดนึงก็ถึงแล้วครับ ฟังพวกเราบ่นไปเดินขึ้นเขาไปนี่น่าเบื่อกันไหม?”

คอมเมนต์วิ่งอยู่บนหน้าจอเหมือนน้ำป่าไหลหลาก แจ็คสันอ่านแทบไม่ทัน

“โอ๊ะ” มาร์คเหลือบไปเห็นข้อความหนึ่ง “แจ็คสัน แฟนถามว่าทำไมนายต้องเอามือฉันไปใส่ในเสื้อโค้ตนายด้วย”

แจ็คสันเลิกคิ้ว หันไปมองหน้ามาร์ค “หนาวไหม?”

“…ก็หนาว”

“หนาวกว่าก่อนที่ฉันจะเอามือมาร์คมาใส่ในเสื้อโค้ตฉันไหม?”

“…อุ่นกว่าสิ”

แจ็คสันหันมาหากล้อง “นั่นแหละครับ”

“…”

มาร์คได้แต่เงียบ

ไม่นานพวกเขาก็เดินมาถึงจุดชมวิวที่กล่าวไว้ เป็นจุดที่สูงที่สุดบริเวณนี้ มีราวกั้นกันตก ด้านล่างคือความมืดสนิทเพราะบ้านเรือนปิดไฟกันหมด มีอยู่ไม่กี่จุดที่มีแสงสว่างเรือง ๆ มาร์คยืนพิงระเบียงด้วยความตื่นเต้น

“อีกสิบนาทีน่าจะได้เห็น”

“จะว่าไปฉันก็ไม่เคยดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่เลย”

“พวกเราไม่มีเวลาดูเลยต่างหาก ตื่นเช้าก็จริงแต่ก็นอนบนรถต่อ รู้สึกตัวอีกทีก็มืดแล้ว”

มาร์คพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนั้น แจ็คสันหันกล้องไปทางที่พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น ทำให้เห็นหลังของมาร์คที่ยืนอยู่ตรงราวกั้น

“มาร์ค หันมานี่ ๆ”

คนโดนเรียกหันกลับไป แล้วเปลี่ยนท่าเป็นยืนหันหลังพิงราวกั้น แจ็คสันเห็นแล้วอดโอบเอวอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ๆ ไม่ได้

“กลัวพลาดตกลงไปชะมัด”

“ไม่มีทาง แข็งแรงจะตาย”

แต่มาร์คก็ไม่ได้ปัดมือที่โอบเอวตัวเองออก กลับยื่นมืออีกข้างโอบไหล่อีกฝ่ายไว้

เวลาสิบนาทีไม่ได้นานเท่าไหร่เลย พวกเขายังไม่ทันจะเริ่มบทสนทนาใหม่ แสงแรกของวันก็ทอแสงจางออกมาจากกลุ่มเมตร แสงสีทองที่เรียกให้ทั้งสองต้องหันไปมองต้นกำเนิดแสง มองดวงอาทิตย์ที่ค่อย ๆ โผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาทีละน้อยเหมือนบอลลูนทีลอยขึ้นฟ้าอย่างช้า ๆ แสงอาทิตย์สาดแสงให้ความสว่างไปยังพื้นที่แต่ละส่วน ๆ จนสุดท้ายก็สว่างจนทั้งมาร์คต้องยกมือบังแสง และใช้มือข้างที่โอบไหล่แจ็คสันเมื่อครู่บังตาแจ็คสันไว้ให้ด้วย เพราะมือข้างหนึ่งของแจ็คสันถือกล้องอยู่

ส่วนอีกข้างก็ไม่ปล่อยจากเอวเขาสักทีนี่ไง

“…สวยเนอะ” แจ็คสันพึมพำ

“อืม”

“ไว้มาดูด้วยกันอีกไหม?”

“…ก็ได้”

มาร์คอมยิ้มนิด ๆ ก่อนที่พวกเขาจะหันกลับไปหากล้อง

“เอาเป็นว่า ภารกิจวันนี้ก็สำเร็จ” แจ็คสันเอ่ยปิดรายการ เหลือบไปมองมาร์คที่ยิ้มจนเห็นเขี้ยวขาวขณะพูดว่า “Mission clear!” แล้วพูดต่อ “สำหรับคราวหน้าภารกิจจะเป็นอะไร ทุกคนติดตามกันด้วยนะครับ แล้วก็อย่าลืมแฮชแท็ก 108missionswithmarkson กันนะ”

“แล้วเจอกันคราวหน้าครับ”

“จนถึงตอนนี้พวกเรา แจ็คสัน”

“และมาร์ค”

“จากก็อตเซเว่น ขอลาไปก่อน ขอบคุณที่ติดตามครับ แล้วเจอกันตอนหน้าครับ!”

“See ya!”

#108MISSIONSWITHMARKSON ep.0

Preview

 

“อ่า… สวัสดีครับ”

เสียงทุ้ม ๆ ที่เอ่ยออกมาอย่างไม่ค่อยแน่ใจถูกแทรกด้วยเสียงร่าเริงของอีกคนในวินาทีถัดมา มาร์ค ต้วน หันไปมองคนที่ยื่นหน้าเข้ามาในกล้อง ก่อนจะหลุดขำกับท่าทางที่แกล้งทำเป็นงง ๆ นั้น เขาเอื้อมมือไปจับหมวกสแน็ปแบ็คของอีกคนให้เข้าที่ แล้วกลับมายิ้มกว้างให้กล้อง

“ขอบใจ มาร์ค” แจ็คสัน หวัง หันไปพูดยิ้ม ๆ ก่อนกลับมามองกล้อง “สวัสดีครับ พวกเราแจ็คสัน…”

“มาร์ค”

“จากก็อตเซเว่น” แจ็คสันพูดต่อ “อันนี้เป็นคลิปแรกสำหรับรายการพิเศษของพวกเรา เป็นรายการสดที่ทุกคนเข้ามาคอมเมนต์ได้ด้วย มาร์ค อ่านคอมเมนต์กัน”

เขาชี้ให้ดูตัวอักษรที่วิ่งขึ้นเร็ว ๆ เต็มหน้าจอ มาร์คพยายามเพ่งมอง “เร็วมากอะ อ่านไม่ทันเลย”

“นี่ไง ๆ ฉันอ่านทัน… ‘Markson is back!’ ใช่ครับ มาร์คสันกลับมาแล้ว”

“… ‘สวัสดีมัคคึ แจ็คซึน’ สวัสดีครับ”

รอยยิ้มกว้างประดับใบหน้า ก่อนแจ็คสันจะเอื้อมมือไปโอบไหล่มาร์คให้เข้ามาอยู่ในเฟรมเดียวกัน เพราะเจ้าตัวยกกล้อง(มือถือ)ออกจากที่ที่เคยอยู่ แล้วเปลี่ยนไปอีกด้านหนึ่ง

“เปลี่ยนมุมกล้องทำไมอะ”

“มันมืดอะ”

“เหรอ” มาร์คขมวดคิ้ว “แล้วเอาไว้ซะสูงแบบนั้นเนี่ยนะ”

เขาเงยหน้ามอง แจ็คสันวางกล้องไว้ตรงเตียงเขา

“ก็ดีกว่าก้มอะ”

มาร์คทำหน้างง ก่อนจะปัดประเด็นนี้ทิ้งไปเมื่อแจ็คสันเข้าเรื่อง

“สำหรับช่วงนี้ขอเรียกว่าช่วง ‘108 Missions with Markson’ นะครับ โดยทุกคนบอกได้เลยว่าอยากให้เราทำอะไรกันบ้าง”

แจ็คสันบุ้ยใบ้ไปทางมาร์คเป็นเชิงให้พูดต่อ ซึ่งอีกคนก็รับมาอย่างลื่นไหล “ใช่ครับ ติดแฮชแท็ก #108missionswithmarkson แล้วเราก็จะเอามิชชั่นเด็ด ๆ ที่แต่ละคนเสนอมานำเสนอให้ทุกคนได้เห็นกัน”

“อยากให้พวกเราทำอะไรแปลก ๆ ก็บอกได้เลย” แจ็คสันหัวเราะร่า อ้อมแขนกระชับแน่นขึ้นจนมาร์คแทบสิงร่างเขาอยู่แล้ว “อยากให้มาร์คร้องเพลงอะไรแบบนี้”

“จะบ้าหรือไง” เผลอทำเสียงดุไป แต่แจ็คสันดันหัวเราะกลับมา “เอาเป็นว่า อยากให้ทำอะไรก็บอกมาเลย มิชชั่นของคนที่ได้รับเลือกจะได้ของที่ระลึกด้วย~”

“แต่ดูจากชื่อรายการ เหมือนเราต้องทำตั้ง 108 ภารกิจเลยนะ”

“ดูจะเป็นการถ่ายทำที่ยาวนาน”

“แต่ก็น่าสนุกดี”

แจ็คสันหันไปหัวเราะ ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อมาร์คยิ้มตอบกลับมาให้ เขาเลื่อนมือจากไหล่คนข้าง ๆ เป็นช่วงเอวบาง ขณะที่มาร์คคว้าเจ้ามือถือตัวอัดคลิปมาถือไว้แทน

“น่าจะมีไม้เซลฟี่”

“แบมแบมคงมี”

“ไว้คราวหน้าค่อยไปขอแล้วกัน”

“มาร์ค ขยับมาทางนี้หน่อย มองไม่เห็น นั่นแหละ”

“โอเค …โอโห คอมเมนต์เพียบเลยอะ”

แจ็คสันไล่อ่านเร็ว ๆ แล้วหยิบคอมเมนต์ที่น่าสนใจมาอ่าน “‘รายการนี้มีแค่พวกนายเหรอ’ –ถูกต้องนะครับ”

“มีแค่มาร์คกับแจ็คสันครับ” มาร์คพูดต่อทันที ทำเอาแจ็คสันหันไปมอง ก่อนจะหลุดขำ

“เอาเป็นว่า รอติดตามรายการของพวกเราเร็ว ๆ นี้ แล้วเจอกันครับ!”

“See you guys!”

#Jark บ้านเลขที่ 7 | 6

Fandom: GOT7
Category: M/M
Relationships: Jackson Wang/Mark Tuan


บ้านเลขที่ 7
Wirunyupha

6

ต้วนอี๋เอินกลับมาถึงบ้านตอนใกล้ห้าทุ่ม บ้านเลขที่ 7 ยังคงเงียบสงัดเหมือนเดิม เขาไขกุญแจเปิดรั้วบ้าน เดินผ่านต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาบดบังแสงจันทร์คืนนี้จนหมดสิ้น พอไขกุญแจเปิดประตูเข้าบ้านเจอไฟห้องนั่งเล่นที่สว่างอยู่ก็ชะงัก

“เฮ้อ…” ชายหนุ่มถอนหายใจ “ฉันไม่ได้ลืมปิดแน่ ๆ แต่ถึงฉันลืมก็ช่วยกันประหยัดไฟหน่อยไม่ได้หรือไง?” เขาบ่นอุบ ล็อกบ้านตามปกติ แล้วเดินเข้าครัวไปหาอะไรกินเป็นมื้อแรกของวัน

ในตู้เย็นอัดแน่นด้วยของสดที่เขาซื้อมาตุนวันก่อน ต้วนอี๋เอินใช้เวลาคิดเมนูเพียงสองนาทีแล้วก็ตัดสินใจทำพาสต้าง่าย ๆ มือถือเครื่องบางเปิดเพลงเสียงดังพอให้ได้ยินในห้องครัว ชายหนุ่มฮัมเพลงไปทำซอสพาสต้าไป พอเส้นสุกได้ที่ก็ยกขึ้นให้สะเด็ดน้ำ ปิดเตา ม้วนพาสตาจัดใส่จานพร้อมราดซอสเรียบร้อย เขาควานหาช้อนส้อมแล้วก็วางจานทั้งสองใบลงบนโต๊ะอาหาร

พอจัดจานช้อนส้อมเสร็จเรียบร้อย ต้วนอี๋เอินก็ถอยไปหยิบของอีกอย่างในตู้เก็บของเหนือซิงก์ล้างจาน เขาเปิดตู้หยิบธูปมาดอกหนึ่ง จุดไฟด้วยไฟแช็ก แล้วก็ปักธูปลงบนจานข้าง ๆ ของตัวเอง

“หมอหลิน มากินข้าวได้แล้วนะ”

เขาส่งเสียงออกไป แล้วก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารของตัวเอง ขณะที่มือหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาเปิดดูข่าวสารของวันนี้ รวมถึงสิ่งที่เขากำลังหาอยู่ด้วย

“ผูเจินหรง? ไม่รู้จักหรอกครับ”

น้ำเสียงและสีหน้ายิ้ม ๆ ของจินโหย่วเชียนทำให้รู้ได้เลยว่าเขาคงถามหาอะไรจากอีกฝ่ายไม่ได้แล้ว ถ้าอยากรู้คงต้องสืบเองทั้งหมด พอคิดแล้วต้วนอี๋เอินก็ถอนหายใจ เลื่อนหน้าจอแท็บเล็ตอ่านสิ่งที่ตนมีอยู่ตอนนี้ ตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงฝีเท้าตรงมาทางห้องอาหาร

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว แปลกใจนิดหน่อย ปกติการมาของหมอหลินไม่ค่อยมีเสียง แต่วันนี้เขากลับได้ยิน ถึงอย่างนั้นก็ยังพูดออกไปเหมือนปกติ “วันนี้เป็นพาสต้านะ กิน ๆ ไปหน่อยแล้วกัน คิดไม่ออกว่าจะทำอะไร”

ต้วนอี๋เอินคาดหวังการตอบรับแบบปกติ เช่น “นายทำอะไรฉันก็กินทั้งนั้นแหละ” “ฉันไม่เรื่องมากหรอกน่า” หรือ “วันนี้ไม่หิว” เพื่อเขาจะได้เตรียมโต้กลับ

แต่สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงความเงียบ

ทำให้ต้วนอี๋เอินต้องละสายตาจากแท็บเล็ตในมือเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะนิ่งค้างไปเหมือนถูกสาป

“…สวัสดีครับ”

นายคนส่งของคนนั้น ยืนอยู่ข้าง ๆ หมอหลินที่ลอยยิ้มแฉ่งจนไม่เห็นตาดำ

ต้วนอี๋เอินพูดไม่ออก

“…คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง???”

เจียเออร์ไม่ใช่คนกลัวผี… นี่เป็นเรื่องดี ๆ เรื่องหนึ่งในชีวิตเขา ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อ แต่เขาไม่รู้สึกว่าต้องกลัวอะไร ชายหนุ่มไม่เคยประสบพบเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน ตลอดชีวิตของเขาเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องไกลตัว เพื่อนเขาบางคนก็มีบ้างที่บอกว่าเจอเป็นประจำ แต่เจียเออร์ก็คือเจียเออร์ ถ้าไม่เห็นกับตา เขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไร

และถึงเห็นกับตา… ก็ยังไม่รู้สึกกลัวอยู่ดี

เจียเออร์ไม่เคยจินตนาการตัวเองเวลาเห็นผีหรืออะไรทำนองนั้น ถึงอย่างนั้นปฏิกิริยาของเขาก็แปลกพอสมควร เขาไม่กลัวหลินไจ้ฟ่านที่ลอยไม่ติดพื้นอยู่ข้าง ๆ แถมบอกให้เขารออยู่เงียบ ๆ จนกว่าเจ้าของบ้านจะทำอาหารเสร็จ พอตามแล้วค่อยลงไปหา จะว่าไปสภาพผีอย่างหมอหลินก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร นอกจากรอยช้ำที่คอที่น่าสยองเป็นพิเศษ นอกนั้นก็เหมือนคนทั่วไปทุกประการ

พอสิ้นเสียงเรียกกินข้าวของเจ้าของบ้าน หมอหลินก็บอกให้เขาเดินนำลงไป เจียเออร์หวั่นใจพอสมควร การที่จู่ ๆ ก็โผล่เข้ามาในบ้านของคนอื่นนี่เป็นเรื่องแปลก แต่ดูท่าทางจากการเชิญไปกินข้าว แสดงว่าต้วนอี๋เอินรับรู้การมีอยู่ของหลินไจ้ฟ่านมาตลอด แต่ก็ยังอยู่… อย่างนั้นเหรอ?

แน่นอนว่าพอเห็นหน้าเขา ต้วนอี๋เอินก็น่าเสียไปเลย

เขาไม่ต้องอธิบายอะไร หลินไจ้ฟ่านก็พูดให้เสร็จสรรพ บอกว่าตัวเองเป็นคนเปิดประตูให้เขาเข้ามาเอง

“หา?” ต้วนอี๋เอินทำหน้าไม่เข้าใจ “แล้วนายจะให้เขาเข้ามาทำไม?”

ผีหมอที่ไม่มีใครเดาใจได้ยักไหล่ ลงไปนั่งเก้าอี้ที่มีพาสต้าปักธูปอยู่ตรงหน้าแล้วเริ่มกินอาหารเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ก็เขาท่าทางอยากเข้ามา ฉันก็ให้เข้ามา”

“แล้วเขาเข้ามาได้ยังไง? ฉันยังไม่เคยอนุญาต…” พอถึงตรงนี้ ต้วนอี๋เอินก็เงียบไปพักหนึ่ง แล้วก็ตีหน้าผากตัวเองเบา ๆ เหมือนนึกอะไรออกขึ้นมา

เจียเออร์มองทั้งสองคนที่คุยกันเหมือนเขาไม่อยู่ตรงนี้ แล้วก็อดหัวเราะแห้ง ๆ ไม่ได้

“เอ่อ… คือ…”

ต้วนอี๋เอินตวัดสายตามามองเขา

“แล้วคุณมาทำไม?”

น้ำเสียงเรียบเฉยผิดกับก่อนหน้านี้ที่พูดจากับเขาเสียงอ่อนกว่าปกติทำเอาเจียเออร์กะพริบตาปริบ ๆ

“ก็…”

แล้วเขาก็สังเกตเห็น

“…คุณหายดีแล้วเหรอ?”

ไม่มีเฝือกพันที่แขนเล็กของเจ้าของบ้านแล้ว รวมทั้งที่ขาด้วย

ต้วนอี๋เอินเหลือบมองผีที่นั่งกินอาหารจนใกล้หมดจาน “ฉันมีหมออยู่กับตัว ถึงจะเป็นผีก็เถอะ”

เจียเออร์ได้แต่พยักหน้ารับ ความเงียบบังเกิดขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง ได้ยินเพียงเสียงช้อนส้อมของหมอหลินที่กินเอา ๆ เหมือนไม่เคยกินพาสต้ามาก่อน แขกคนเดียวของบ้านมองผีหมอสลับกับเจ้าของบ้านที่นั่งคิดอะไรเงียบ ๆ แต่ยังไม่ทันโพล่งอะไรขึ้นมา หลินไจ้ฟ่านที่จัดการอาหารเรียบร้อยแล้วก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน

“หวังเจียเออร์จะมาช่วยนาย”

“อะไรนะ?”

ทั้งเขาทั้งต้วนอี๋เอินทวนพร้อมกัน

แต่หลินไจ้ฟ่านยังพูดต่อหน้าตาเฉย “ก็เรื่องที่ฉันบอกนายไง นายคิดจะทำทั้งหมดคนเดียวหรือไง เสี่ยวเอิน คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตายนะ”

“นายตายไปแล้ว”

“ไม่ได้หมายถึงฉันสิ” หมอหลินส่ายหน้า “หมายถึงหวังเจียเออร์”

“ไม่จำเป็น” ต้วนอี๋เอินพูดเสียงเฉียบ “ฉันจัดการเองได้ ทำไมต้องให้คนอื่นมายุ่งด้วย”

เจียเออร์ที่กลายเป็นคนอื่นรู้สึกช้ำใจหน่อย ๆ กับคำพูดนั้น แต่ก็ได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย จริงอยู่ว่าเขาอยากช่วยต้วนอี๋เอิน แต่เขาไม่เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้สักอย่าง จะให้เขาช่วยอะไร?

หลินไจ้ฟ่านมองเขาสลับกับเจ้าของบ้านแล้วก็พูดขึ้น

“หมอนี่ไม่ใช่คนอื่นคนไกลหรอกน่า”

“ยังไง?” ต้วนอี๋เอินถามกลับทันที

“เพราะเขารู้จักคนที่นายกำลังหาอยู่ไง… ผูเจินหรงน่ะ”

เจียเออร์กับต้วนอี๋เอินมองหน้ากันทันที

ต้วนอี๋เอินตกใจเรื่องอะไรไม่รู้ แต่สำหรับหวังเจียเออร์ เขามีหลายเหตุผลมากให้ตกใจ

ข้อแรก ทำไมหมอหลินถึงรู้จักผูเจินหรง ข้อสอง ทำไมต้วนอี๋เอินถึงอยากเจอผูเจินหรง และข้อที่สาม… หมอหลินรู้ได้ยังไงว่าเขารู้จักผูเจินหรง

แต่มันก็ไม่แปลกที่เขาจะรู้จักเจินหรงเลย ก็นั่นน่ะ… แฟนเก่าของเขานะ

#Jark บ้านเลขที่ 7 | 5

Fandom: GOT7
Category: M/M
Relationships: Jackson Wang/Mark Tuan


บ้านเลขที่ 7
Wirunyupha

5

“ผู้เสียชีวิตคือ หลินไจ้ฟ่าน อายุ 27 ปี อาชีพแพทย์ประจำโรงพยาบาล xx ทราบจากเพื่อนบ้านว่าก่อนหน้านี้ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลในเซี่ยงไฮ้ สาเหตุการเสียชีวิตคือขาดอากาศหายใจ ตำรวจสันนิษฐานว่าเพราะเชือกที่ใช้รัดคอ และลงความเห็นว่าเป็นคดีฆ่าตัวตาย ยังไม่ทราบแรงจูงใจของผู้เสียชีวิต…”

เจียเออร์มองเนื้อหาข่าวที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์แล้วกุมขมับ ภาพของผู้เสียชีวิตที่ประกอบอยู่ในเนื้อข่าวนั้นชัดเจนว่าคือเงาร่างที่เขาเห็นตามหลังต้วนอี๋เอินเดินเข้าไไปในบ้านเลขที่ 7 แน่นอน

นี่มันอะไรกัน?

ที่แน่ ๆ ไม่ว่าอย่างไร บ้านหลังนั้นก็ไม่สมควรอยู่อาศัยต่อไป ตอนนี้ต้วนอี๋เอินอาศัยอยู่ร่วมกับผี มองยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องดี

“…หวังเจียเออร์”

เสียงของเจ้านายทำให้เขาสะดุ้ง เจียเออร์ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ “…ครับ?”

“ฉันเรียกนายสิบรอบแล้ว ไปส่งของได้แล้ว”

“…ครับ”

เช้าวันใหม่ยังคงเป็นไปเหมือนทุกวัน หวังเจียเออร์ต้องขับมอเตอร์ไซค์ของบริษัทดำเนินการส่งพัสดุไปตามบ้านต่าง ๆ ในละแวกนี้ และแน่นอนว่าวันนี้ก็ไม่พ้นมีของบ้านเลขที่ 7 อีกแล้ว

“ผมไม่มีญาติพี่น้อง”

แล้วของที่มาส่งอยู่แทบทุกวันนี่คืออะไรกันนะ… เจียเออร์มองกล่องพัสดุขนาดกลางในมือแล้วนึกฉงน

เวลาสิบเอ็ดนาฬิกา เขากดออดที่หน้าบ้านเลขที่ 7 มองต้นไม้ใหญ่ที่ยังคงตั้งตระหง่านท้าแดดท้าฝนเหมือนเดิม ไม่ถึงสิบวินาทีประตูบ้านก็เปิดออก เจ้าของบ้านเดินหน้าง่วงมาเหมือนเดิม เป็นภาพที่เจียเออร์เห็นจนชิน และคิดว่าคงมีเขาคนเดียวนี่แหละที่ได้เห็นอะไรแบบนี้

“มีของมาส่งถึงคุณแทบทุกวันเลยนะครับ” เขาเปรยขึ้นมา ต้วนอี๋เอินที่กำลังเซ็นเอกสารเงยหน้ามามอง ก่อนจะหลุดขำ

“ผมซื้อของทางอินเทอร์เน็ตด้วยน่ะ ปกติไม่ได้ออกไปไหนเท่าไหร่”

เจียเออร์กะพริบตาปริบ ๆ ไม่ใช่เพราะคำตอบ แต่เพราะเขี้ยวเล็ก ๆ ที่ประดับอยู่บนแนวฟันเรียงสวยของคนหน้าง่วง

หน้าตาดีจริง ๆ แฮะ…

“แล้วนี่คุณ…” เขาเอ่ยก่อนอีกฝ่ายจะหยิบของเดินเข้าไป “ยังไม่หายดีใช่ไหมครับ? มีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้นะ”

ต้วนอี่เอินเลิกคิ้ว รอยยิ้มจางจุดขึ้นบนริมฝีปากก่อนตอบ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมบอกแล้ว” ก่อนจะโค้งให้เล็กน้อย “ขอบคุณที่ห่วงครับ” แล้วก็เดินกะเผลกเข้าบ้านไป

เจียเออร์มองส่งจนเจ้าของบ้านเดินเข้าไป แม้บรรยากาศของบ้านจะดูวังเวงเหมือนเดิม แต่เขากลับรู้สึกว่าต้วนอี๋เอินยิ้มบ่อยขึ้นหรือเปล่านะ…

อะไรบางอย่างทำให้เจียเออร์รู้สึกว่าเขาปล่อยเรื่องของบ้านเลขที่ 7 ไว้เฉย ๆ ไม่ได้ ชายหนุ่มไม่ได้ถามคนอื่นเรื่องข่าวเมื่อหลายปีก่อนอีก และไม่ได้พูดเรื่องพวกนี้กับจินโหย่วเชียน เขาเอาแต่คิดว่าทำยังไงถึงจะเข้าไปบ้านหลังนั้นได้… เข้าไป ใช่ ในเมื่อต้วนอี๋เอินไม่ได้มีท่าทีว่าอยากออกมา เขาก็จะเข้าไปแทน ยิ่งท่าทางเหมือนพยายามปิดซ่อนอะไรบางอย่างไว้ เจียเออร์ยิ่งสงสัยจนไม่เป็นอันทำอะไร

จริง ๆ มันเป็นเรื่องที่เขาไม่ควรยุ่งด้วยเลย แต่ภาพรอยยิ้มเยาะของผีหมอหลินทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจแปลก ๆ จนสุดท้ายเขาก็มาหยุดอยู่หน้าบ้านเลขที่ 7 อีกแล้ว

สามทุ่ม เป็นเวลาที่ไม่ควรจะมาเยี่ยมบ้านใครทั้งนั้นแม้ว่าจะเป็นเพื่อนสนิท แต่ตอนนี้เจียเออร์ยืนลังเลอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่ เขาควรกดออดดีไหมนะ?

ชายหนุ่มมองเข้าไปในตัวบ้าน มันเงียบเหมือนไม่มีใครอยู่ ไฟในบ้านก็ไม่เปิดด้วยซ้ำ นอกจากเสียงลมพัดจนกิ่งไม้เสียดสีกันเหนือหัว ก็ไม่มีเสียงอะไรอีก

เจียเออร์ตัดสินใจกดออด เสียงออดดังกังวานราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ดังจนเขาขมวดคิ้ว มองซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวง กลัวว่าจะมีใครหรืออะไรพุ่งออกมา

ก่อนจะชะงักเมื่อประตูรั้วค่อย ๆ แง้มเปิดออกเอง

ชายหนุ่มเกือบจะร้องโวยวายแล้ว แต่ก็ยั้งตัวเองไว้ได้ก่อน เขาพึมพำกับความว่างเปล่าตรงหน้า

“…ผมเข้าไปได้ใช่ไหม?”

ไม่มีเสียงตอบใด มีเพียงประตูที่แง้มเปิดกว้างขึ้น

เจียเออร์กลืนน้ำลายเอื้อก รู้สึกเหมือนกำลังจะก้าวเข้าสู่มิติลี้ลับ เขาค่อย ๆ เดินไปตามทางเดินตรงสู่ประตูหน้าบ้าน ไม่ได้สังเกตว่าประตูรั้วด้านหน้าปิดเอง และประตูบ้านก็แง้มเปิดให้เขาเหมือนจะเชิญชวนให้เข้าไป

มือข้างหนึ่งยกมากุมหัวใจไว้ด้วยความระทึก แต่ละก้าวที่มุ่งตรงไปหนักขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งใกล้ยิ่งก้าวขาลำบาก อาจเป็นเพราะความกลัวอยู่ลึก ๆ เจียเออร์ไม่แน่ใจแล้วว่าที่ตัดสินใจเข้ามาในบ้านนี้ถูกหรือเปล่า

เมื่อพ้นประตูบ้านเข้าไป สิ่งที่เห็นคือความมืดสนิท ไม่มีไฟเปิดใช้งานสักดวง เหมือนไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึงบ้านหลังนี้ เจียเออร์สะดุ้งเมื่อประตูปิดลงด้วยตัวเอง เขาหันซ้ายหันขวาอย่างคนทำอะไรไม่ถูก ขณะที่มือควานสะเปะสะปะเพื่อจะหาสวิตช์ไฟสักดวง

ทันทีไฟสว่างขึ้น เผยให้เห็นโถงนั่งเล่นที่มีข้าวของวางระเกะระกะ เจียเออร์ก็ถอนหายใจโล่งอก อย่างน้อยมันก็ช่วยลดความน่ากลัวลงบ้าง เขาหันไปเห็นกระถางต้นแดนดีไลอ้อนที่อยู่มุมห้องแล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้ มันดูแย่ลงกว่าครั้งล่าสุดที่เห็นหรือเปล่า? ต้วนอี๋เอินไม่ค่อยดูแลมันหรือไง?

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังตึง! มาจากชั้นบน เจียเออร์สะดุ้ง เสียงนั้นดังแล้วเงียบหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ชักไม่แน่ใจว่าคือเสียงอะไรกันแน่ หรือจะมีโจรเข้ามาอีก? เขาค่อย ๆ เดินไปตามเสียง ขึ้นบันไดที่นำไปสู่ชั้นสอง เพื่อพบกับทางเดินยาวที่แบ่งระหว่างห้องสองห้องที่หันหน้าเข้าหากัน เจียเออร์ไม่รู้ว่าเสียงมาจากห้องไหนกันแน่

เขาเดินไปหยุดยืนหน้าประตูห้องหนึ่ง ใช้สัญชาตญาณเดาล้วน ๆ ว่าน่าจะเป็นห้องนี้ มือค่อย ๆ เอื้อมไปบิดลูกบิดผลักประตูเข้าไป ด้านในมีแต่ความมืด มืดจนแสงไฟจากทางเดินด้านนอกส่องเข้าไปไม่เห็นอะไรสักอย่าง นอกจาก…

เท้าคู่หนึ่งที่ลอยอยู่เหนือพื้น

ประตูหลังร้านที่ปกติจะมีแต่คนสนิทหรือพนักงานในร้านเข้ามาเตรียมตัวเปิดร้านเปิดออก ทำให้จินโหย่วเชียนอดเลิกคิ้วประหลาดใจไม่ได้ ยิ่งเห็นคนที่เดินเข้ามาตอนที่ร้านเขายังไม่เปิดทำการดี ชายหนุ่มยิ่งสงสัย แต่ก็ทำได้เพียงยิ้มให้คนตรงหน้า

“สวัสดีครับ คุณเจ้าของบ้านเลขที่ 7”

“ผมชื่อ ต้วนอี๋เอิน” ชายหนุ่มตอบเรียบ ๆ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้สตูลโดยไม่รอคำอนุญาต “คุณคือจินโหย่วเชียนใช่ไหม?”

“ใช่ครับ อีกอย่างคือ ตอนนี้เพิ่งจะ…” โหย่วเชียนปรายตามองนาฬิกาที่ตั้งไว้ตรงเคาท์เตอร์ “สามทุ่มครึ่ง ร้านผมเปิดห้าทุ่มนะครับ”

“ผมมีเรื่องจะถาม” ต้วนอี๋เอินตัดบทอย่างไร้มารยาท แต่โหย่วเชียนก็ไม่ได้ว่าอะไร เขามองคนตัวบางหยิบกระดาษแผ่นเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนริมฝีปากอิ่มจะเอ่ยขึ้น

“คุณรู้จัก หลินไจ้ฟ่าน ไหม?”

คนฟังนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้ารับ “รู้จักสิครับ ใครก็รู้จักเขาทั้งนั้น หมอหลินที่เคยอยู่บ้านคุณไง”

ต้วนอี๋เอินพยักหน้ารับ

“แล้วผูเจินหรงล่ะ” คราวนี้คำถามทำให้คนตัวสูงอึ้งไป “คุณรู้จักเขาไหม?”

ภาพตรงหน้าเหมือนจะทำให้เจียเออร์เสียสติ เขาอ้าปากค้าง เผลอผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง พอเงยหน้าตามปลายเท้าที่ลอยอยู่ชัด ๆ ก็เห็นเงาร่างทึบทึมของคนตัวใหญ่ที่ห้อยอยู่กับโคมไฟ เจียเออร์หน้าซีดปากสั่นมือสั่น อีกนิดนึงก็จะวิ่งลงบันไดกลับไปแล้ว ถ้าไม่ติดว่าเขานึกขึ้นมาได้ว่า โคมไฟอันแค่นั้นจะไปรับน้ำหนักคนทั้งตัวได้ยังไง

อาการตกใจกลายเป็นสงสัย ท่าทางหวาดหวั่นเหลือเพียงความฉงน เจียเออร์เดินเข้าไปใกล้ แต่พอเขาไปยืนตรงหน้า ปลายเท้าและร่างนั้นก็หายวับไป

ชัดเลย

เจียเออร์กลืนน้ำลายอึกใหญ่ รู้แน่ชัดว่าตรงหน้าไม่ใช่มายากลแน่นอน และไม่ใช่คนด้วย แต่เขากลับไม่มีความกลัวในหัวแล้วตอนนี้ พอมาเจอตรงหน้า เขาคิดว่าก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น

หรือเพราะรอยยิ้มที่ติดตามันน่าโมโหกว่าน่ากลัวก็ไม่รู้

“คุณคือ… หมอหลินไจ้ฟ่านใช่ไหม?”

สิ้นคำถาม เจียเออร์ก็รู้สึกเหมือนลมเย็น ๆ อยู่ที่หลังคอ เขาหันควับ และได้พบกับเงาร่างนั้นเต็ม ๆ แบบชัด ๆ

หลินไจ้ฟ่าน ในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำและกางเกงแสล็กยืนพิงกรอบประตูมองเขาอยู่ ที่คอยังมีรอยช้ำจากการโดนรัด แต่สีหน้าไม่เหมือนคนตายเลยสักนิดเดียว

“ใช่”

คำตอบสั้น ๆ แต่ทำเอาเจียเออร์รู้สึกขนลุกแปลก ๆ เพราะแม้จะยิ้มให้เขา แต่แววตาอีกฝ่ายเย็นเยียบจนน่ากลัว

“คุณตายไปแล้ว…”

“ใช่” เสียงทุ้มตอบช้า ๆ “ฉันตายแล้ว”

“แล้วนี่คืออะไร? ผีเหรอ?”

เจียเออร์ถามหน้าตาย แต่คนเป็นผีตอบหน้าตายกว่า

“อืม ใช่ ฉันเป็นผี เป็นวิญญาณ เป็นอะไรก็แล้วแต่ แต่ไม่ใช่คนเป็น”

“คุณอยู่ที่นี่มาตลอดเหรอ?” เจียเออร์ยังคงถาม และได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้า ทำเอาเขาสงสัยไปอีก “แล้วต้วนอี๋เอินไม่รู้หรือไงว่าคุณอยู่ที่นี่”

หลินไจ้ฟ่านยิ้ม เป็นยิ้มเย็นยะเยือกที่ทำให้คนถามชักห่วงสวัสดิภาพของเจ้าบ้านคนปัจจุบัน ก่อนผีหมอจะอธิบายต่อ

“ฉันยังมีเรื่องต้องสะสางอยู่ เลยยังอยู่ที่นี่”

“…อะ…อะไร?”

หลินไจ้ฟ่านเดินเข้ามาใกล้ อีกฝ่ายสูงกว่าเขานิดหน่อย พอเข้ามาแบบนี้แล้วรู้สึกเหมือนโดนคุกคาม

ก่อนเสียงอีกฝ่ายจะดังขึ้น

“ที่นี่เป็นสถานที่ที่ศพฉันถูกพบ” น้ำเสียงเรื่อย ๆ เหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศทำเอาเจียเออร์อดมองอย่างหวาด ๆ ไม่ได้ “แต่นายก็เห็น โคมไฟแบบนั้น ฉันตัวขนาดนี้ มันเป็นไปไม่ได้”

“หมายความว่ายังไง…”

“ง่ายมาก” หลินไจ้ฟ่านยิ้มจนตาหยี “ฉันไม่ได้ฆ่าตัวตาย แต่ถูกฆ่าตาย”

#Jark บ้านเลขที่ 7 | 4

Fandom: GOT7
Category: M/M
Relationships: Jackson Wang/Mark Tuan


บ้านเลขที่ 7
Wirunyupha

4

หน้าบ้านเลขที่ 7 ที่ต้นไม้ใหญ่อันระบุพรรณไม่ได้ยังคงแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาแม้ในวันที่แดดจัด หวังเจียเออร์ยืนถือกล่องพัสดุใบใหญ่รอเจ้าของบ้านมาเปิดประตูให้ วันนี้เขาได้รับสิทธิให้เข้าบ้านหลังนี้สักที หลังจากที่ตลอดมาได้แค่ยืนส่งของที่หน้าบ้าน

จริง ๆ แล้วเจียเออร์ก็ไม่ได้อยากเข้ามาในบ้านหลังนี้มากขนาดนั้น เขาก็แค่สงสัย… หลาย ๆ อย่างของบ้านหลังนี้ แต่ไม่มีโอกาสได้ถามเจ้าของบ้านสักที และคิดว่าถึงถามไป คนอย่างต้วนอี๋เอินก็คงไม่ตอบหรอก

ต้วนอี๋เอินในชุดเสื้อยืดแขนยาวคอปิดและกางเกงวอร์มขายาวเดินตาปรือมาหาเขา อ้าปากกว้างตอนหาวอย่างไม่มีมารยาท แต่ก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดอะไร ผมสีอ่อนที่โคนเริ่มเป็นสีเข้มยุ่งเหมือนทุกครั้งที่เจ้าตัวเพิ่งลุกจากที่นอนมาเปิดประตูให้เขา สิ่งที่แปลกไปคือขาซ้ายที่พันด้วยผ้าพันแผลและแขนขวาใส่เฝือก

ภาพนั้นทำเอาคนส่งพัสดุถึงกับชะงัก

นี่สินะเหตุผลที่วันนี้ให้เข้าไปส่งของในบ้านได้

ต้วนอี๋เอินมองเขา ก่อนเอ่ย “คุณชื่ออะไร?”

“ผมเคยบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”

อีกฝ่ายถอนหายใจ “ถ้าจำได้ผมจะถามเหรอ?”

“…หวังเจียเออร์”

คนเจ็บพยักหน้ารับ “คุณหวังเจียเออร์ เชิญ”

พูดเพียงเท่านั้นแล้วเบี่ยงตัวให้เขาเดินเข้าไป ทันทีที่ก้าวเข้าสู่อาณาเขตของรั้วบ้าน เจียเออร์ก็รู้สึกแปลก ๆ ทันที เขามองซ้ายมองขวา ความรู้สึกเหมือนโดนจับจ้องอยู่ตลอดเวลาทำให้อึดอัดพิกล

“เร็วหน่อย คุณ” ต้วนอี๋เอินที่เดินกะเผลกด้วยไม้ค้ำหันมาบอก “ผมจะไปนอนต่อ”

ความหวงแหนเวลานอนของเจ้าของบ้านทำให้เขาต้องรีบก้าวเท้ายาวขึ้นอีกนิด กล่องนี่ไม่หนักมากก็จริง แต่สำหรับคนเจ็บคงยกเองไม่ได้แน่ ๆ ประตูบ้านเปิดรอเขาตั้งแต่ห่างออกไปสามเมตร พอเจียเออร์ก้าวเท้าแรกปุ๊บ เจ้าของบ้านก็พูดทันที

“คุณวางไว้ตรงนั้นแหละ”

“ฮะ?” เจียเออร์ชะงัก “แล้วคุณจะยกไปที่อื่นยังไง? จะเก็บไว้ตรงไหน? บอกผมเลยเถอะ แค่นี้เอง เดี๋ยวเอาไปวางให้”

แต่เจ้าของบ้านส่ายหน้าดิก “ไว้ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวผมแกะกล่องแล้วก็ยกไปเอง”

“แต่ว่า…”

“วางเถอะครับ”

แม้น้ำเสียงจะสุภาพ แต่ท่าทางไม่ยอมแน่นอนทำให้เขายอมวางกล่องใบใหญ่ลงแต่โดยดี เจียเออร์ถอนหายใจขณะก้าวเท้าถอยออกมา ต้วนอี๋เอินเดินตามมาส่งเขาถึงหน้าบ้าน และเจียเออร์เห็นชัดว่า กระถางแดนดีไลอ้อนที่เขาเคยถามหาก่อนหน้านี้ ตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งของบ้านนั่นแหละ

“ทำไมวันนี้มาเอง?”

เจียเออร์เลิกคิ้วแปลกใจเมื่อเห็นว่าลูกค้าที่มาฝากส่งของวันนี้คือโหย่วเชียนเพื่อนเก่า เจ้าของร่างสูงกว่าเขาเป็นคืบยิ้มจนหยี แต่ไม่ได้มีท่าทีชวนให้อารมณ์ดีเลย ดูเป็นการกวนประสาทเสียมากกว่า

“มาส่งของให้แฟน”

ปันปันน่ะเหรอ?”

“แบมแบม… แต่ นั่นแหละ คนเดียวกัน นายออกเสียงแบบจีนทำไม”

“ก็ฉันชินไง ใครจะไปเหมือนนักเรียนนอกอย่างนายล่ะ” เจียเออร์แอบแซะเพื่อนเบา แต่ก็โดนอีกฝ่ายย้อนเข้าให้

“โอโห เราเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันไม่ใช่หรือไง? นายนั่นแหละแปลก เรียนแค่ปีเดียวแล้วก็ย้ายกลับมาจีน มาทำงานที่นี่เนี่ย”

เพื่อนตัวสูงมองสภาพกลางเก่ากลางใหม่ของบริษัทขนส่งเอกชนแห่งนี้แล้วเหลือบมองเขา

“ก็มันของพ่อฉันนี่นา” เจียเออร์ยักไหล่ “ส่งของไปไทยแพงนะ” เขาเปลี่ยนเรื่องหน้าตาย ซึ่งโหย่วเชียนก็ตอบกลับมาหน้าตาเฉยเช่นกัน

“ฉันมีปัญญานั่งเครื่องบินส่วนตัวไปหาเขาเองด้วยซ้ำ ค่าส่งไม่กี่หยวนไม่สะเทือนฉันหรอก”

คนฟังแอบเบ้ปาก พอดีกับที่เจ้านายเขาเดินกลับเข้ามาเลยต้องตั้งหน้าตั้งตาเอาพัสดุเข้าระบบตามหน้าที่ เจ้านายพอเห็นโหย่วเชียนก็ทักทายอย่างอารมณ์ดี เอาแต่พูดว่าไม่ได้ไปผับของโหย่วเชียนนานมากแล้ว ว่างจะแวะไป

“จะว่าไป” โหย่วเชียนโพล่งขึ้นมา “คุณที่อยู่บ้านเลขที่ 7 เป็นยังไงบ้างล่ะครับ?”

เจ้านายของเขาเลิกคิ้วแล้วหันมามองเขา เจียเออร์เลยตอบไปว่า “ก็ดูสบายดี” ซึ่งตรงข้ามกับความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง

“สนิทกันเหรอ?”

เขากลอกตา “เปล่า”

“วันก่อนคุณตำรวจมาบ่นให้ฟัง” โหย่วเชียนยังพูดเรื่อย ๆ เหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ “คดีปล้นบ้านเลขที่ 7 แปลกมาก แต่เจ้าหน้าที่ทำอะไรไม่ค่อยได้ เพราะเจ้าของบ้านไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจค้นเท่าไหร่”

“แล้วผู้ต้องหาล่ะ?” เจ้านายของเจียเออร์ถาม

โหย่วเชียนยักไหล่ “ไม่เป็นอะไรครับ ผู้เสียหายไม่ได้เอาเรื่องอะไรเลย”

“ไม่เอาเรื่องเลย?” เจียเออร์งง “ทำไม?”

“ไม่มีใครรู้” คนตัวสูงตอบเพียงเท่านั้น “ตำรวจคงต้องเลิกยุ่งกับคดีนี้ไป อ้อ ถึงผู้ต้องหาจะไม่ได้โดนฟ้องร้องอะไร แต่ตอนนี้เขาอยู่แผนกผู้ป่วยจิตเภทนะ”

“หา” เจ้านายของเจียเออร์อุทานเสียงหลง “หรือที่เขาลือกันจะจริง”

“ลือกัน?” เหมือนเจียเออร์เป็นคนเดียวที่ไม่ได้ร่วมวงสนทนากับชาวบ้าน “อะไรเหรอครับ?”

“ไม่ชอบข่าวซุบซิบมาตั้งแต่สมัยเรียนก็เหมือนเดิมเลยนะ” โหย่วเชียนส่ายศีรษะ “แต่อัปเดตข่าวสารบ้างก็ดีนะ”

“…อะไรวะ?”

เจ้านายของเจียเออร์เป็นคนอธิบายเอง “ก็เขาลือกันว่าที่บ้านนั้นไม่มีขโมยเพราะมีผีไง ผีคุณหมอหลินที่ผูกคอตายน่ะ”

เจียเออร์พลันนึกถึงเงาที่ยืนอยู่ที่ระเบียงบ้านหลังนั้น ขนคอลุกซู่ขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ แต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือ

“ของแบบนี้มีจริงเหรอครับ…”

“เด็กสมัยนี้นี่” เจ้านายส่ายหน้าดิก โบกมือไปมาเหมือนรับไม่ได้ “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ บ้านนี้น่ะ ฮวงจุ้ยก็ไม่ดี เลขที่บ้านก็เป็นเลขที่ 7 อะไรเป็นเลขเจ็ดก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ!”

เจียเออร์เหลือบมองโหย่วเชียนที่เพียงยิ้มนิด ๆ ให้เขา ก่อนจะขอตัวกลับก่อนเพราะต้องไปทำธุระที่ร้านต่อ ส่วนเจ้านายของเจียเออร์ก็หันไปบริการลูกค้าที่เข้ามาเหมือนเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แต่คำพูดของทั้งสองยังวนเวียนอยู่ในหัวเจียเออร์

ภาพเงาร่างที่ยืนจ้องเขาอยู่บนระเบียงชั้นสองชัดขึ้นเรื่อย ๆ ในความทรงจำ

หรือจะเป็นคุณหมอคนนั้นจริง ๆ ?

ถึงจะไม่ได้สนิทกัน แต่เห็นแก่ที่เคยช่วยเหลือกันไว้และเจียเออร์คิดว่า คนอย่างต้วนอี๋เอินไม่น่าจะมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน พอเลิกงาน เขาเลยตัดสินใจแวะมากดออดที่บ้านเลขที่ 7 อีกครั้ง

บรรยากาศโพล้เพล้ที่เจียเออร์เคยชิน วันนี้กลับดูวังเวงกว่าปกติ ต้นไม้ใหญ่ทำให้แถวนี้มืดกว่าบริเวณอื่น ไฟถนนตรงข้ามบ้านยังคงเสียเหมือนเดิม บรรยากาศราวกับไม่มีคนอาศัยอยู่ในบ้านทำให้เขาใจร้อนกดออดย้ำ

แล้วก็มีเสียงโวยวายออกมา

“โอ๊ย! รู้แล้ว! คนเจ็บขาเนี่ย เร่งอะไรนักหนา!?”

มือที่กำลังจะกดซ้ำอีกรอบชะงักแล้วกลับไปสงบเสงียมเหมือนเดิม ต้วนอี๋เอินพอเห็นหน้าเขาก็ขมวดคิ้ว

“คุณมาทำไม? หมดเวลาส่งพัสดุแล้วไม่ใช่เหรอ?”

เจียเออร์มองคนที่ยังเดินกะเผลก ๆ มาพร้อมไม้ค้ำแล้วอดห่วงนิด ๆ ไม่ได้

“คือผมเป็นห่วงคุณนิดหน่อย…”

“เป็นห่วง?”

ต้วนอี๋เอินทวนคำเสียงสูง เกิดความเงียบขึ้นมาชั่วขณะ อีกฝ่ายหรี่ตามองเขาอย่างไม่ไว้ใจ

“…ไม่ใช่พวกโรคจิตแน่เหรอ? คุณน่ะ”

เจียเออร์แทบร้องไห้

“ไม่ใช่แน่นอน คุณจะบ้าหรือไง ผมจะไปทำอะไรคุณ?”

ต้วนอี๋เอินยักไหล่

“คุณไม่ต้องห่วงหรอก ผมอยู่ได้ สบายมาก ไม่ใช่ครั้งแรกที่เป็นแบบนี้แล้วต้องอยู่คนเดียว”

คำพูดนั้นทำเอาเจียเออร์สงสัยกว่าเดิม เขามองหน้าต้วนอี๋เอินเหมือนจะตรวจสอบให้แน่ใจ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อพบว่าเห็นเงาใครบางคนอยู่ตรงประตูทางเข้า

เจ้าของบ้านเลิกคิ้ว

“…เป็นอะไร?”

เจียเออร์กะพริบตา เงานั้นหายไปแล้ว แต่เขาไม่ได้ตาฝาดแน่นอน เขาเห็นจริง ๆ

“คุณไม่เจออะไรเลยเหรอ…” เขาถามเสียงเบา “ในบ้านน่ะ”

ต้วนอี๋เอินหรี่ตา “คุณหวังอยากให้ผมเจออะไรล่ะ?”

คนโดนถามกลับเงียบ เขามองเจ้าของบ้านสลับกับประตูทางเข้าอย่างกังวล

“…คุณไม่ควรอยู่คนเดียวจริง ๆ นะ เจ็บขนาดนี้ ให้ญาติพี่น้องมาดูเถอะ เกิดเป็นอะไรขึ้นมา”

“ผมไม่มีญาติพี่น้อง” ต้วนอี๋เอินตอบเสียงเรียบ “แล้วก็บอกแล้วว่าไม่ต้องห่วง คุณไม่ต้องยุ่งหรอก ผมจัดการตัวเองได้”

พูดเพียงเท่านั้นก็เดินถอยออกจากรั้วจะเข้าบ้าน แต่ก็ไม่วายทิ้งท้าย

“รีบกลับบ้านนะคุณ มืดแล้วมันจะอันตราย” ก่อนจะเดินเข้าบ้านไป

เจียเออร์จะไม่รู้สึกอะไรเลย ถ้าเขาไม่เห็นว่า ก่อนต้วนอี๋เอินจะปิดประตูลง เงาร่างที่เขาเคยเห็นจะปรากฏตัวขึ้น คราวนี้มาแบบชัดเจนเห็นทุกรายละเอียด แม้จะไกลกันหลายเมตรแต่เขาก็เห็นไฝเล็ก ๆ สองจุดตรงเปลือกตาซ้าย รอยยิ้มเหยียด และรอยช้ำเหมือนโดนรัดที่คอ ก่อนที่เงาร่างนั้นจะเดินตามเจ้าของบ้านเข้าบ้านไป

ชายหนุ่มผงะออกจากห่างจากรั้วบ้านเลขที่ 7 แทบจะทันที นัยน์ตาเบิกกว้างด้วยความตระหนก หัวใจเต้นแรงขึ้นอย่างน่ากลัว

เขาไม่ได้ตาฝาด

ไม่ต้องเดาเลยว่านั่นคืออะไร มองยังไงมันก็คือผีหมอหลินคนนั้นชัด ๆ !!

#Jark บ้านเลขที่ 7 | 3

Fandom: GOT7
Category: M/M
Relationships: Jackson Wang/Mark Tuan


บ้านเลขที่ 7
Wirunyupha

3

เจียเออร์มีเรื่องที่สงสัยมาพักใหญ่แล้วแต่ไม่ได้เอ่ยถามใครออกไป กระทั่งวันหนึ่งที่มีเรื่องราวเกิดขึ้น เป็นข่าวซุบซิบของชาวบ้านในละแวกนี้ไปชั่วขณะหนึ่งเลย เมื่อบ้านเลขที่ 7 มีโจรขึ้นบ้าน

ชาวบ้าน (รวมถึงเจ้านายของเจียเออร์) ดูจะตกใจมาก ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า บ้านเลขที่ 7 ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เลย ขณะที่เจียเออร์ตกใจกว่าว่า ทำไมบ้านเลขที่ 7 ถึงไม่เคยมีโจรคิดจะเข้าไปปล้น

ในฐานะคนที่ผ่านบ้านหลังนั้นแทบทุกวัน เจียเออร์เห็นว่าลักษณะบ้านเหมาะกับการโจรกรรมมาก รั้วต่ำ เห็นตัวบ้านชัดเจน ไม่ได้มีระบบป้องกันภัยอะไรเลย ชั้นสองมีระเบียงให้ปีนได้ด้วย ถ้าจะขโมยก็สบายมาก

แต่ก็นั่นแหละ เจ้านายของเขาบอกว่า บ้านหลังนี้ไม่เคยมีขโมยเลย นี่น่าจะเป็นรายแรก

ต้วนอี๋เอินเจ้าของบ้านให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ตอนตีหนึ่งตัวเองอยู่ในครัวหาอะไรกิน แต่ไม่ได้เปิดไฟเพราะชินที่ทางในบ้าน แล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่งแอบย่องเข้ามาทางประตูหลังบ้านที่ปิดไม่สนิท โชคดีที่เจ้าของบ้านคนนี้ไม่ใช่คนไร้เรี่ยวแรง ยังไม่ทันไรเจ้าโจรร้ายก็โดนซัดหมอบลงไปกับพื้น แล้วเขาก็โทร.แจ้งตำรวจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

หลักฐานมาจากปากของผู้เสียหายเป็นหลัก ไม่มีหลักฐานอื่น ๆ บ้านหลังใหญ่โตไม่ติดกล้องวงจรปิดสักตัว ให้ตำรวจตรวจค้นได้แค่ชั้นล่างด้วย ต้วนอี๋เอินห้ามเด็ดขาดไม่ให้พวกตำรวจขึ้นไปชั้นสอง โชคดีที่โจรรับสารภาพ เรื่องเลยจบลงด้วยดี

แต่สิ่งที่ผู้ต้องหาหลุดออกมา มีประโยคหนึ่งที่ทุกคนตั้งข้อสงสัยกัน

“แล้วคุณหมอคนนั้นล่ะ? ที่อยู่บ้านนี้อีกคน”

เขาถามต้วนอี๋เอินกลางโรงพัก ซึ่งเจ้าบ้านก็ทำเพียงมองเมินแล้วบอกว่าไม่มีใครนอกจากตัวเขาเองที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ ถึงแม้ผู้ต้องหาจะโวยวายว่าเห็นจริง ๆ สุดท้ายเลยโดนส่งตัวไปพบจิตแพทย์ก่อนดำเนินคดี

“ฉันว่าต้องเป็นหมอที่ฆ่าตัวตายนั่นแน่ ๆ” เจ้านายของเจียเออร์ออกความเห็นด้วยสีหน้าจริงจัง พานให้ทุกคนแถวนั้นเชื่อกันไปหมด หรือจริง ๆ อาจจะคิดแบบนี้กันตั้งแต่แรก “วิญญาณของคุณหมอต้องยังวนเวียนอยู่แน่นอน”

เจียเออร์ฟังแล้วถอนหายใจ แต่ไม่ได้เถียงอะไรออกไป เพราะเขาเองก็แอบคิดว่า… เขาคงจะเห็นคุณหมอคนนั้นเข้าแล้วล่ะ

แต่ถ้าเจ้าของบ้านไม่พูดอะไรออกมา ก็ไม่มีใครมีสิทธิ์ทำอะไรทั้งนั้น

วันพุธกลางเดือน เจียเออร์เลิกงานช้ากว่าปกติ กว่าจะออกจากที่ทำงานฟ้าก็มืดแล้ว เขาแวะซื้ออาหารเย็นที่ร้านข้างทาง แล้วปั่นจักรยานคู่ใจกลับที่พัก

ขณะกำลังผ่านสี่แยกเล็ก ๆ ก่อนขึ้นเนิน เจียเออร์ก็ชะงัก เพราะใครคนหนึ่งกำลังวิ่งตรงมาทางเขา

ต้วนอี๋เอิน

อีกฝ่ายสวมเสื้อผ้าเหมือนคนเตรียมออกไปข้างนอก แต่สีหน้าซีดเซียวกว่าปกติ ท่าทางก็ดูรีบร้อนเหมือนวิ่งหนีอะไรสักอย่าง พอเห็นเขาก็หน้าซีดลงไปอีก

“…คุณ”

ไม่พูดพล่ามทำเพลง ต้วนอี๋เอินเหวี่ยงตัวขึ้นซ้อนจักรยานเขา แนบตัวลงมาจนชิดแล้วกระซิบข้างหูเสียงเข้ม

“ปั่นย้อนกลับไปทางที่คุณมา เดี๋ยว-นี้

เจียเออร์ไม่มีเวลาจะหันไปมองหน้าอีกฝ่ายด้วยซ้ำเพราะต้วนอี๋เอินเล่นบิดเอวเขาแรงจนเขาร้องเบา ๆ แล้วก็ต้องรีบปั่นจักรยานย้อนกลับไปทางเดิน นึกอยากด่าคนที่จู่ ๆ ก็ทำอะไรไม่บอกกล่าว แต่พอปั่นไปได้สักพักแล้วสัมผัสถึงแรงสั่นจากด้านหลัง เจียเออร์ก็กลืนคำด่าลงไป แล้วพูดอย่างอื่นแทน

“เอ่อ… คือ…”

“ปั่นไป…”

ก้มหน้าก้มตาบอกเขา ทั้งที่เจียเออร์รู้สึกเลยว่าเสื้อของตนถูกกำจนแน่น มือนั้นสั่นน้อย ๆ และเกร็งแน่น จนเจียเออร์ต้องปล่อยมือจากแฮนด์จักรยานข้างหนึ่งไปกุมมืออีกฝ่ายไว้ มันเย็นชืดและชื้นเหงื่อไปหมด

“ใจเย็นนะคุณ” เขาพูดแข่งกับเสียงลมที่ตีหน้า และได้รับการตอบรับเป็นการบีบมือเบา ๆ กลับมา

เจียเออร์ไม่รู้ว่าตนกำลังปั่นหนีจากอะไรหรือปั่นไปไหน แต่สุดท้ายเขาเลือกพาต้วนอี๋เอินมาถึงผับที่อยู่ห่างจากแถวบ้านพวกเขาไปไม่ไกลนัก อย่างน้อยมันก็พลุกพล่าน และโดยทฤษฎีแล้ว สถานที่ที่คนพลุกพล่านน่าจะพรางตัวง่ายกว่า

เขาจอดจักรยานที่หลังผับ ดึงต้วนอี๋เอินที่นั่งตัวแข็งอยู่เบาะหลังให้ลุกขึ้นมายืนดี ๆ ใบหน้าขาวซีดจนน่ากลัว จนเขาต้องเรียกชื่ออีกฝ่ายเรียกสติ

“ต้วนอี๋เอิน ต้วนอี๋เอิน คุณโอเคไหม?”

เจ้าของชื่อสะดุ้ง พยักหน้ารับ ก่อนจะเหลือบมองด้านหลังของตนไปมาด้วยท่าทางหวาดระแวง เห็นแล้วเจียเออร์ก็คว้าข้อมือที่เล็กกว่าเขาให้เดินตามมา

เขาพาต้วนอี๋เอินเข้าไปทางหลังร้าน ทักทายพนักงานแต่ละคนอย่างคุ้นเคย ก่อนจะพากันเดินมาถึงบาร์ซึ่งชายหนุ่มในชุดบริกรมองตาขวางอยู่

“มาทำไม?”

เสียงห้วนถามจนเจียเออร์กลอกตา ก่อนจะดันร่างที่ปิดปากเงียบให้นั่งลงบนเก้าอี้สตูล แล้วนั่งตัวข้าง ๆ เขามองบริกรหนุ่มตรงหน้าสลับกับคนข้าง ๆ

“ดื่มอะไรหน่อยไหมคุณ?”

ต้วนอี๋เอินส่ายหน้า มองซ้ายมองขวาอีกรอบก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ นัยน์ตาใสช้อนมองชายแปลกหน้าหลังบาร์แล้วหันกลับมามองเขา

“ฉันขอตัว”

เจียเออร์หน้าเหวอ “เดี๋ยวสิ” ว่าพลางคว้าแขนอีกฝ่ายที่ทำท่าจะลุกไว้ด้วย ภาพนั้นทำเอาบริกรหนุ่มส่งเสียงแปลก ๆ ในลำคอจนเจียเออร์หันขวับมา

“ไม่ต้องมาทำเสียงแบบนั้นเลย! โหย่วเชียน!”

จินโหย่วเชียนยักไหล่ ยิ้มเหมือนจะล้อเลียน ก่อนจะเดินหลบไปให้แขกทั้งสองใช้เวลาจัดการปัญหากัน

เจียเออร์ไม่ยอมปล่อยมือ เขารู้ว่าต้วนอี๋เอินฝืนดึงมือออกจากเขา แต่เพราะยังรู้สึกว่ามืออีกฝ่ายสั่นอยู่ เขาจึงกึ่งบังคับให้คนตรงหน้านั่ง ต้วนอี๋เอินตัวเล็กกว่าเขา ไม่ยากที่จะรั้งให้กลับไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม

ใบหน้าขาวงอง้ำ แต่สีหน้าดูดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้

“คุณไม่ต้องอธิบายก็ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นั่งก่อน” เจียเออร์พูดอย่างใจเย็น เสียงดังกว่าปกตินิดหน่อยเพราะผับแห่งนี้เปิดเพลงอึกทึกใช้ได้ “ให้มือหายสั่นก่อนก็ยังดี”

เหมือนเพิ่งรู้ว่าตัวเองมือสั่นไม่หยุด ต้วนอี๋เอินค่อย ๆ คลายมือออก หายใจเข้าออกช้า ๆ เหมือนทำสมาธิ แล้วก็เหลือบมองซ้ายขวาเหมือนลุกลี้ลุกลนเป็นครั้งที่ร้อย

เจียเออร์มองตาม ก่อนจะตอบ “ไม่มีใครตามมาหรอกน่า”

“ถึงตามมานายก็ไม่เห็นหรอก” ต้วนอี๋เอินเถียงเสียงเบา แต่บังเอิญว่าเขาได้ยิน

“หมายความว่ายังไง?”

อีกฝ่ายไม่ตอบ พอดีกับที่แก้วบรรจุของเหลวสีอ่อนวางลงตรงหน้า โหย่วเชียนยิ้มให้พวกเขาสองคนอีกครั้ง เป็นยิ้มเจ้าเล่ห์แบบที่เจียเออร์เห็นกี่ทีก็ไม่ชอบ ถ้าไม่ติดว่าคบกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย เขาคงเผลอชกหน้าหมอนี่เพราะรอยยิ้มแบบนี้แหละ

“คุณเพิ่งเจอเรื่องโจรมา แล้วยังต้องหนีอะไรแบบนี้อีก” เจียเออร์พูดขึ้นมาหวังจะเปิดบทสนทนา “เหนื่อยน่าดูเลยนะ”

ต้วนอี๋เอินถอนหายใจ “เรื่องโจรนั่นไม่ได้เป็นปัญหาขนาดนั้นหรอก”

พูดเพียงแค่นั้นแล้วก็เงียบไป เจียเออร์ได้แต่มองอีกฝ่ายเงียบ ๆ ต้วนอี๋เอินไม่แตะแก้วสักนิด จริง ๆ แล้วคือไม่แตะอะไรสักอย่าง นั่งกุมมือไว้ที่ตักเงียบ ๆ ท่าทางแปลกจนคนมองเริ่มกังวล

“คุณ…”

“ขอบคุณนะครับ” จู่ ๆ ก็โพล่งขึ้นมา หันมามองเขาแล้วก็หลบตาไป “คุณช่วยผมสองครั้งแล้ว ถึงตอนยกของให้นั่นจะเหมือนคุณอาสาทำเองก็เถอะ”

“…”

“แต่ครั้งนี้ผมขอให้คุณช่วย แล้วคุณก็ช่วย ขอบคุณครับ” ศีรษะเล็กโค้งให้เขาด้วยท่าทางแบบผู้ที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี ก่อนจะลุกออกจากเก้าอี้

“ผมคงต้องไปแล้วจริง ๆ คิดว่าคงไม่เป็นอะไรแล้ว”

ไม่เปิดโอกาสให้เจียเออร์ถามอะไรอีก ต้วนอี๋เอินเดินออกไปทางประตูหน้า และไม่หันกลับมาหาเขาอีก

ทิ้งความสงสัยก้อนใหญ่ไว้ให้เจียเออร์ที่ได้แต่มองตามจนร่างนั้นหายลับไป แต่ยังไม่ทันจะคิดอะไรต่อ เสียงของโหย่วเชียนก็เรียกเขาไว้ก่อน

“ฉันไม่คุ้นหน้าคนนั้นเลย ใครน่ะ?”

เจียเออร์ถอนหายใจ ก่อนตอบ “เจ้าของบ้านเลขที่ 7”

“อ๋อ บ้านที่เพิ่งมีโจรขึ้นน่ะเหรอ?” โหย่วเชียนทำหน้าสนใจ “แล้วสนิทกันเหรอ?”

“เปล่าหรอก บังเอิญเจอกันน่ะ” เขาตอบ

“เหรอ แปลกแฮะ”

คำพูดของโหย่วเชียนทำให้เขาต้องมองหน้าอีกฝ่าย

“อะไรแปลก?”

“คุณคนนั้นนั่นแหละแปลก” ว่าพลางเช็ดแก้วไปด้วย “ใครก็รู้ว่าบ้านหลังนั้นคนอยู่ไม่ได้หรอก แต่นี่เขาอยู่มาสักพักแล้วหรือเปล่า? ไม่เจออะไรแปลก ๆ เหรอ?”

“อะไรแปลก ๆ?”

คนเล่ายักไหล่ “ก็แบบ วิญญาณของหมอที่ฆ่าตัวตายแล้วยังไม่ไปผุดไปเกิด”

“…มีจริง ๆ เหรอ?”

ท่าทางสนใจของเขาคงไปสะกิดต่อมอะไรบางอย่าง โหย่วเชียนเลยทำหน้าล้อเลียน

“เชื่อด้วยเหรอ?”

“…เฉย ๆ”

บริกรหนุ่มยักไหล่

“ก็อาจจะมีล่ะมั้ง? เห็นเจอกันหลายคนแล้ว แล้วคุณเจ้าของบ้านเขาเคยพูดอะไรไหมล่ะ?”

เจียเออร์ส่ายหน้า “ไม่เคย อีกอย่างก็ไม่ได้สนิทมากด้วย”

โหย่วเชียนเก็บแก้วที่เคยเป็นของต้วนอี๋เอินไป ก่อนจะก้มมาคุยกับเขาแล้วกระซิบเสียงเบา

“เชื่อฉันเถอะ เดี๋ยวก็ได้สนิทกัน”

เจียเออร์มองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ

“เร็ว ๆ นี้แหละ”

#Jark บ้านเลขที่ 7 | 2

Fandom: GOT7
Category: M/M
Relationships: Jackson Wang/Mark Tuan


บ้านเลขที่ 7
Wirunyupha

2

“อ้าว คุณบ้านเลขที่ 7”

ตอนสี่ทุ่มของวันศุกร์ เจียเออร์เพิ่งแยกกับเพื่อนสมัยมัธยมที่บังเอิญเจอกันตรงแถวสถานีรถไฟตอนเลิกงาน เขาตั้งใจจะกลับห้องพักเลย แต่ตอนเดินอยู่บนถนน ก็เจอคนที่ไม่คาดคิดเสียก่อน

คุณบ้านเลขที่ 7 มีสีหน้าไม่สบอารมณ์ทันทีที่เขาหลุดปากเรียกไปแบบนั้น แต่ก็ตอบกลับมาอย่างรักษามารยาท

“ไง คุณคนส่งพัสดุ”

“ผมชื่อ หวังเจียเออร์ นะ เผื่อคุณอยากรู้” เจียเออร์เนียนแนะนำตัว และเนียนเดินตามอีกฝ่ายไปด้วย ต้วนอี๋เอินเหลือบมองเขาก่อนเอ่ย

“ไม่อยากรู้เลย”

“ถือว่าผมมีน้ำใจบอกก็ได้”

“คุณนี่พูดมากนะ” คนตัวขาวเหล่ “ปกติก็พูดมากแบบนี้เหรอ?”

เจียเออร์ยักไหล่ แอบสังเกตการแต่งตัวของคนตรงหน้าไปด้วย วันนี้สวมแค่เสื้อยืดกับกางเกงขายาว เลยไม่เห็นรอยสักกางเขนรอยนั้น

“ผมพูดเก่งน่ะ”

“พูดเก่งกับพูดมากมันไม่เหมือนกันนะ”

ต้วนอี๋เอินเถียงกลับโดยไม่มองหน้าเขา ขณะที่เดินนำเข้าไปในร้านสะดวกซื้อข้างทาง

เจียเออร์เดินตามเหมือนคนไม่มีอะไรทำ ซึ่งก็ใช่ เขาเลิกงานแล้ว ไม่ได้รีบร้อนไปไหน ห้องพักก็อยู่ไม่ห่างจากที่นี่มาก จะกลับตอนไหนก็ได้ พรุ่งนี้ยังไงเขาก็แค่นอนอืดอยู่ห้องรอวันจันทร์ที่จะมาถึงแล้วก็ไปทำงาน วนลูปแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ขณะที่คนที่ตั้งใจมาร้านสะดวกซื้อรีบหยิบตะกร้า แล้วพุ่งตรงไปที่แผนกอาหารสำเร็จรูปทันที

“หืม?” เจียเออร์มองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่อีกฝ่ายยกแพ็กใส่ตะกร้าแล้วเลิกคิ้ว “คุณชอบยี่ห้อนี้เหรอ?”

ต้วนอี๋เอินหันมามอง

“คุณยังไม่ไปอีกเหรอ?”

“…ยังครับ ยังอยู่ตรงหน้าคุณนี่แหละ”

“ไม่มีอะไรทำหรือไง?”

“ถ้าให้ตอบตรง ๆ ก็ใช่ครับ ตามนั้นแหละ ไม่มีอะไรทำ”

ต้วนอี๋เอินถอนหายใจ แล้วก็เลือกจะเมินเขา แต่เจียเออร์คันมือยิบ ๆ รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาตัดสินใจยกแพ็กบะหมี่ทั้งหมดออกจากตะกร้า แล้วหยิบอีกยี่ห้อใส่ลงไปแทน

คนถือตะกร้ามองเขาอย่างหงุดหงิด

“อะไร?”

“ยี่ห้อนั้นมันไม่อร่อย คุณไม่รู้หรือไง? เขารู้กันทั้งประเทศ”

อีกฝ่ายนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนพึมพำตอบ “ไม่รู้หรอก ก็เพิ่งเคยมาอยู่”

คนฟังถึงกับต้องชะโงกหน้าไปใกล้ ๆ

“หมายความว่ายังไง?”

แต่สิ่งที่ได้ตอบกลับมาคือก้นขวดน้ำอัดลมที่ประทับใส่หน้าผากเขาเบา ๆ แต่ก็แอบเจ็บอยู่นิด ๆ พร้อมกับเสียงทุ้ม ๆ ของเจ้าของบ้านเลขที่ 7

“รู้ไปทำไม?”

น้ำอัดลมสองขวด ขนมขบเคี้ยวอีกหลายถุง และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นแพ็ก คือของที่ต้วนอี๋เอินหอบหิ้วมาจากร้านสะดวกซื้อ และเจียเออร์เป็นคนดีเกินกว่าจะเห็นคนรู้จัก (อย่างน้อยเดือนนี้ก็เจอหน้ากันสี่ห้าครั้งได้) ลำบาก เขาเลยอาสาช่วยถือกลับมาด้วย แม้เจ้าของบ้านจะบอกว่าไม่จำเป็น แต่ก็ทนลูกตื๊อเขาที่หอบทุกอย่างมาถือเองไม่ไหว สุดท้ายในมือของชายหนุ่มแซ่ต้วนจึงเหลือแค่ถุงใส่ขนม

เวลาเกือบห้าทุ่ม ฟ้ามืดสนิท มีเพียงแสงไฟประปรายตามรายทาง ต้วนอี๋เอินเดินนำขึ้นเนินไปยังบ้านที่อยู่ตรงหัวมุม ซึ่ง ณ เวลานี้ดูเงียบวังเวงกว่าปกติ เห็นเพียงเงาของต้นไม้ใหญ่เท่านั้น

“…ไฟตรงนี้เสียเหรอ?” เจียเออร์อดถามไม่ได้ “ทำไมมืดจัง”

จริงดังคาด ไฟถนนตรงข้ามบ้านเลขที่ 7 เสีย อาจจะหลอดขาด หรืออะไรก็ตามแต่ แต่ก็ทำให้บ้านหลังนี้มืดเกินความจำเป็น มืดจนน่ากลัว

“คุณน่าจะโทร.ให้เขามาซ่อมนะ”

“ผมโทร.แล้ว” ต้วนอี๋เอินตอบขณะไขกุญแจเข้าบ้าน “แต่เขาไม่มาสักที”

เจ้าของบ้านผลักประตูบานเล็กเข้าไปพร้อมกับหอบข้าวของเข้าไปด้วย แต่จู่ ๆ ก็ชะงักแล้วหันกลับมาหาคนที่ถือของอยู่

“เดี๋ยวผมเอาเข้าไปเองก็ได้”

ฟังจากคำพูดแล้ว ตีความได้ว่าไม่อยากให้เข้าไปในบ้าน ซึ่งเจียเออร์ก็มีมารยาทพอ ถึงเขาจะเดินตามมาตลอดทางก็เถอะ

“งั้นเดี๋ยวผมรอหน้าบ้าน คุณเอาอันนั้นเข้าไปเก็บก่อน แล้วค่อยมายกอันนี้กลับไปก็ได้” เขาเสนอวิธีการที่น่าจะปลอดภัยต่อหลังและเอวของต้วนอี๋เอินมากกว่า เจ้าของบ้านฟังแล้วก็พยักหน้ารับ ก่อนจะรีบวิ่งไปเปิดประตูบ้าน แล้วก็หายเข้าไป

เจียเออร์ยืนรออยู่นอกตัวบ้าน ฟังเสียงลมที่พัดผ่านต้นไม้ใหญ่จนเกิดเสียงใบไม้เสียดสีกันเบา ๆ มองท้องฟ้าสีเข้มที่มีแสงจันทร์ส่องประกายอยู่หลังพยับเมฆ ก่อนจะกลับไปมองบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง

ราวกับสายตาถูกตรึงไว้ชั่วขณะ

เขาเกือบจะลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้เห็นอะไรบางอย่างตรงระเบียงชั้นสองของบ้านหลังนี้ แต่เพราะวันนั้นนึกว่าตัวเองตาฝาดไป จึงไม่ได้สนใจอีก ทว่าวันนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น…

ชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ในห้องที่มืดทึบเพราะไม่ได้ปิดไฟ มีเพียงแสงจาง ๆ จากดวงจันทร์ข้างบนสาดส่องพอให้เห็นเงาร่าง แต่เขากลับเห็นชัดว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องเขาอยู่

“…คุณ คุณ!”

เขาต้องละสายตาออกจากตรงนั้นเพราะเจ้าของบ้านที่เรียกเขาเสียงดัง เจียเออร์กะพริบตาปริบ ๆ ขณะที่อีกฝ่ายขมวดคิ้ว

“เป็นอะไรหรือเปล่า?”

“เปล่าครับ” เขาตอบทันที เหลือบมองบนระเบียงนั้นอีกรอบ ไม่มีใครแล้ว “คุณอยู่คนเดียวเหรอ?”

ต้วนอี๋เอินหรี่ตามองเขา “คุณเป็นพวกสตอล์กเกอร์เหรอ? ถามทำไม?”

“ผมแค่สงสัย…”

“ผมอยู่คนเดียวนี่แหละ เคยเห็นคนอื่นนอกจากผมออกมารับพัสดุด้วยเหรอ?”

เจียเออร์อยากจะพยักหน้า แต่ทำเพียงยิ้มแห้ง ๆ ให้ ต้วนอี๋เอินเดินไปวางของหน้าประตูบ้าน แล้วกลับมาล็อกรั้ว พอโบกมือลาเขาก็หายกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง

ชายหนุ่มหันกลับไปมองตรงนั้นอีกครั้ง ระเบียงยังคงว่างเปล่า แต่เจียเออร์มั่นใจ ว่าเมื่อครู่เขาไม่ได้ตาฝาด

“แดนดิไลอ้อนกระถางนั้นหายไปไหนแล้วล่ะครับ?”

วันอังคารของสัปดาห์ถัดมา เจียเออร์รับหน้าที่มาส่งพัสดุให้บ้านเลขที่ 7 เหมือนเดิม คราวนี้เป็นห่อพัสดุขนาดเล็กดูและน้ำหนักเบา ระหว่างที่รอคุณเจ้าบ้านที่หน้าตาง่วงงุนเหมือนไม่ได้นอนหลายคืนเซ็นเอกสาร เขาก็เอ่ยถามขึ้น

มือที่กำลังวาดลายเซ็นชะงัก มองหน้าคนถามอย่างงง ๆ

“แดนดิไลอ้อน?”

“ครับ” เจียเออร์พยักหน้ารับ ชี้ตรงจุดที่กระถางเคยตั้งอยู่ แต่ตอนนี้หายไปแล้ว

ต้วนอี๋เอินเอียงคอคิด แต่สักพักก็ทำหน้าเหมือนจะหลับกลางอากาศ เขาเลยตบมือเบา ๆ ตรงหน้าอีกฝ่ายให้รู้สึกตัว นัยน์ตาสีเข้มฉายประกายหงุดหงิดนิดหน่อย แต่ดู ๆ ไปแล้วเหมือนลูกแมวกำลังขู่

“กลับเข้าไปนอนในบ้านเถอะครับ”

“คุณนั่นแหละชอบมาขัดตอนผมนอน” เจ้าของบ้านบ่น

“นี่มันกี่โมงแล้วครับ คนที่นอนเวลานี้แบบคุณนั่นแหละแปลก”

ต้วนอี๋เอินยักไหล่ แล้วเดินกลับเข้าบ้านไปพร้อมกับพัสดุ เจียเออร์มองส่ง เขาเห็นรอยสักที่น่องขาวนั่นชัดเจนเหมือนครั้งแรกที่เห็น แต่เหมือนคราวนี้มันจะแปลกไปนิดหน่อย

เหมือนมันใหญ่ขึ้นหรือเปล่านะ?

#Jark บ้านเลขที่ 7 | 1

Fandom: GOT7
Category: M/M
Relationships: Jackson Wang/Mark Tuan


บ้านเลขที่ 7
Wirunyupha

1

 

บ้านเลขที่ 7 เป็นบ้านสองชั้นหลังใหญ่ ที่มีอาณาบริเวณกว้างขวางพอจะมีสวนเล็ก ๆ หน้าบ้าน และมีต้นไม้ที่ระบุพรรณไม่ได้เด่นเป็นสง่าอยู่ภายในรั้วบ้าน หวังเจียเออร์สังเกตเห็นบ้านหลังนี้ได้ง่ายตั้งแต่วันที่มาประจำสาขานี้ เพราะทุกครั้งที่ขับมอเตอร์ไซค์ผ่าน บ้านหลังนี้ซึ่งอยู่ตรงหัวมุม จะมีต้นไม่ใหญ่เป็นจุดเด่นเสมอ

วันแรกที่เขาต้องเริ่มงาน เจ้านายของเจียเออร์บอกเขาว่า บ้านหลังนี้เปลี่ยนเจ้าของบ่อยครั้ง คราแรกเจ้าของเป็นพ่อค้าจากแดนใต้ที่นึกครึ้มอยากย้ายถิ่นฐานขึ้นมา เพราะขยายสาขาร้านตัวเองมาได้จนถึงเมืองนี้ ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่บ้านหลังนี้ได้สามเดือนก็ต้องย้ายออก เพราะกิจการเจ๊งไม่เป็นท่า เลยขายต่อให้คนอื่นไปในราคาถูก

เจ้าของคนถัดมาเป็นหมอจากเซี่ยงไฮ้ ไม่ค่อยได้อยู่ที่บ้าน แต่วันหนึ่งไม่รู้เกิดอะไร ผูกคอตายในบ้าน สุดท้ายบ้านหลังนี้ก็ต้องผลัดมือเปลี่ยนเจ้าของอีก

เจ้านายของเขาเล่าว่า ทุกวันนี้ เจ้าของคนล่าสุดคือคนที่หกเพิ่งย้ายออกไป และคนที่เจ็ดก็ซื้อบ้านหลังนี้ต่อด้วยราคาแสนถูก (แอบกระซิบกับเขาด้วยว่าเงินเดือนเขาทั้งปียังแพงกว่าค่าบ้านอีก) พอเขาถามเจ้านายว่าตกลงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้านายที่เป็นชายวัยกลางคนลงพุงพลุ้ยวัน ๆ ทำหน้าที่แค่ประทับตราใส่ซองจดหมายกับหน้ากล่องพัสดุแล้วส่งคัดแยกก็บอกด้วยน้ำเสียงลึกลับว่า

“ฮวงจุ้ยไม่ดีน่ะ”

เจียเออร์เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง การจะมีบ้านสักหลังเป็นเรื่องยากในแผ่นดินนี้ ถ้าราคามันถูกขนาดนั้นคนไม่แห่ซื้อกันหมดประเทศหรือไง แต่เขาก็ทำได้เพียงคิดในใจและไม่ได้สนใจอะไร เพราะปกติแล้วก็ไม่ได้มีจดหมายหรือพัสดุใดจ่าหน้าถึงบ้านหลังนี้สักที

วันนี้เจียเออร์ก็ยังทำหน้าที่เหมือนทุกวัน ขับมอเตอร์ไซค์ส่งจดหมายตามบ้านเลขที่ต่าง ๆ แต่วันนี้ต่างจากทุกวันตรงที่ ในที่สุดก็มีพัสดุจ่าหน้าถึงคุณ ‘บ้านเลขที่ 7’ จนได้

เวลาสิบนาฬิกา แดดเริ่มแรงขึ้นจนเจียออร์ต้องหรี่ตามองป้ายเลขที่บ้านที่ติดไว้ข้างเสาอย่างหมิ่นเหม่จะร่วงแหล่มิร่วงแหล่ มองลอดรั้วที่เตี้ยเกินคาดเข้าไปเห็นเพียงทางเดินที่ปูด้วยหินและประตูที่ปิดสนิท เขากดออดที่ติดไว้เหนือเลขที่บ้านหนึ่งครั้ง ขณะรอก็พิศมองชื่อที่เขียนอยู่บนหน้ากล่องไปด้วย

ต้วน อี๋เอิน

ผู้หญิง?

มีเบอร์โทรศัพท์เขียนไว้ใต้ชื่อ เจียเออร์สังเกตว่านอกจากชื่อแล้ว ตัวอักษรที่เหลือเป็นภาษาอังกฤษหมดเลย พอยกกล่องพัสดุดูก็พบว่าหนักเอาการ แต่ฟังเสียงแล้วน่าจะเป็นหนังสือ?

เขารออยู่พักใหญ่ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าเจ้าของบ้านจะเปิดประตูออกมาสักที เจียเออร์ตัดสินใจหยิบมือถือแล้วกดโทร.ออกตามเบอร์.ที่เขียนไว้ เสียงรอสายดังอยู่พักใหญ่จนเขาเกือบกดตัดสาย พอดีอีกฝ่ายกดรับก่อน

“สวัสดีครับ จากบริษัทขนส่ง xx ครับ คุณต้วนอี๋เอิน…”

“…”

ความเงียบที่ปลายสายทำเอาเจียเออร์งง

“คุณต้วนอี๋เอินครับ?”

“…”

“ไม่ทราบว่าอยู่บ้านหรือเปล่าครับ? ผมมาส่งของครับ อยู่หน้าบ้า—”

“อ๊า! พูดมากจริง! เดี๋ยวออกไป!”

เสียงตวาดดังมาก่อนจะตัดสายทิ้งอย่างรวดเร็ว เจียเออร์มองหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความตกใจ เขาไม่ได้ตกใจเสียงตวาด เขาตกใจที่ว่าเสียงนั้น… ฟังยังไงก็เสียงผู้ชาย

ยังไม่ทันหายใจหายคอดี ประตูบ้านที่นิ่งสนิทก็แง้มเปิดออก ร่างโปร่งบางที่ขาวจนเหมือนจะเปล่งแสงได้เดินสะโหลสะเหลออกมา ผมสีอ่อนที่น่าจะเกิดจากการกัดสีผมกระเซอะกระเซิงบอกยี่ห้อคนเพิ่งตื่น เจ้าตัวสวมแค่เสื้อกล้ามสีขาวตัวใหญ่กับกางเกงขาสามส่วน เดินลากแตะหูคีบส่งเสียงแซ่ก ๆ มาหาเขาถึงประตูรั้ว

อดตกใจกับสภาพที่เหมือนโดนขุดออกมาจากเตียงไม่ได้ แต่เห็นหน้าแล้วตกใจกว่า

แพขนตายาวปรือปรอยกับเปลือกตาที่จะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่ สันจมูกโด่งสวยเหนือริมฝีปากสีออกแดง เห็นไฝเล็ก ๆ เหนือริมฝีปากอิ่ม พอเดินเข้ามาใกล้ก็หาวใส่เขาแบบไม่ปิดปากทีหนึ่งจนเห็นเขี้ยวเล็ก ๆ และฟันเรียงตัวสวย

อือหือ เจียเออร์คิดในใจ หน้าตาดีใช่เล่นนะเนี่ย

อีกฝ่ายใช้มือเกาะรั้วแล้วเหลือบตามองเขาอย่างหงุดหงิด

“ไหนของ?”

เขาสะดุ้ง ยื่นกล่องพัสดุให้อีกฝ่ายผ่านรั้วเตี้ย ๆ นั่นอย่างง่ายดาย ต้วนอี๋เอินรับไปเขย่า ๆ ดู ก่อนจะเท้าคางกับขอบรั้วแล้วมองเขา

“ต้องเซ็นอะไรไหม?”

“เอ่อ…” เจียเออร์ลนลานหยิบกระดาษกับที่รองเขียนและปากกาให้ “นี่ครับ”

มือขาวรับไปเซ็นลวก ๆ แล้วส่งอุปกรณ์พวกนั้นคืนเขา ก่อนจะเดินเกาหัวกลับเข้าบ้านไปโดยที่เจียเออร์ได้แต่มองตามแผ่นหลังที่เล็กกว่าเขาพอสมควร

เขามองลายเซ็นยึกยือบนกระดาษแล้วแอบขำ ท่าทางสะลึมสะลือนั่นไม่ได้หลอกจริง ๆ ดูจากการเขียนหนังสือแล้ว ท่าจะง่วงมาก แทบไม่ได้กดปากกาเลย เหมือนลอยมาเขียน

สุดท้ายเขาก็ขับมอเตอร์ไซค์ออกตัวจากบ้านเลขที่ 7 ไป

 

 

 

 

มีพัสดุถึงบ้านเลขที่ 7 อีกแล้ว

คราวนี้เป็นกล่องขนาดใหญ่กว่าเดิม แต่เบากว่านิดหน่อย เจียเออร์จอดรถหน้าบ้านเหมือนเดิม กดออดเหมือนเดิม และไม่มีเสียงตอบรับเหมือนเดิม

เขาตัดสินใจโทร.ออกหาเบอร์.ที่เม็มไว้ว่า ‘ต้วนอี๋เอิน เลขที่ 7’ เสียงรอสายดังอยู่พักใหญ่เหมือนเดิม แล้วก็ได้ยินเสียงรับสาย

“สวัสดีครับ คุณต้วนอี๋เอิน ผมมาจากบริษัท—”

“กี่โมงแล้ว?”

จู่ ๆ อีกฝ่ายก็โพล่งขึ้นมา ทำเอาเจียเออร์ชะงัก เขายกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาก่อนตอบ

“…สิบโมงสิบสองนาทีครับ”

“…เฮ้อ” เสียงถอนหายใจแรงดังจากปลายสาย “เดี๋ยวออกไป” แล้วก็ตัดสายไป

ไม่นานประตูบ้านก็เปิดออก เจียเออร์รู้สึกว่ามันต่างจากเดิมนิดหน่อย ก่อนหน้านี้ข้างรั้วบ้านไม่มีกระถางต้นแดนดิไลอ้อน ไม่รู้ว่ามาจากไหน หรือเจ้าของคนใหม่ซื้อเข้ามา? เขาคิดไม่ทันไรคุณต้วนอี๋เอินก็พุ่งมาเกาะขอบรั้วด้วยสภาพเหมือนจะหลับได้ทุกเมื่อ ถ้าเป็นผู้หญิงคงต้องเรียกว่าออกมาทั้งหน้าสด เสื้อผ้าวันนี้ก็ไม่ต่างจากที่เจอวันก่อนเลย

“เอามา”

สั่งเสียงเนือยเหมือนไม่อยากจะเสียเวลานอนไปมากกว่านี้ พอเขาส่งพัสดุให้พร้อมเอกสารให้เซ็นต์ก็รับไปแล้วส่งเอกสารคืน จากนั้นก็เดินเหมือนลอยกลับเข้าบ้านไปอีกรอบ

คราวนี้เจียเออร์เพิ่งสังเกตว่า ที่น่องด้านซ้ายของคุณเจ้าของบ้าน มีรอยสักรูปไม้กางเขนเสียด้วยสิ

 

 

 

 

ผ่านไปอีกสามวัน มีพัสดุมาถึงบ้านเลขที่เจ็ดอีกครั้ง แต่วันนี้เจียเออร์มาเช้ากว่าเดิมมาก เขามาถึงหน้าบ้านตั้งแต่แปดโมง พอกดออด นึกว่าจะได้โทร.ปลุกวิญญาณคุณต้วนอี๋เอินขึ้นมาอีก ปรากฏว่าไม่ถึงสามวินาทีหลังกดออด ประตูก็เปิดออก

คราวนี้ต้วนอี๋เอินมาแปลก ไม่ได้มีท่าทีง่วงงุนแต่อย่างใด ผมสีอ่อนเซ็ตเป็นทรงเข้ากับรูปหน้า สวมเสื้อผ้าเหมือนคนจะออกไปทำงาน ทั้งที่วันอื่นก็ไม่เห็นเป็นแบบนี้ แต่ไม่ใช่กงการอะไรของเขาที่ต้องถามลูกค้าเรื่องนี้ เจียเออร์ส่งพัสดุให้เจ้าของบ้านพร้อมเอกสาร คราวนี้พัสดุกล่องเล็กมาก แต่หนักมาก

“…หนักจริง” ต้วนอี๋เอินพึมพำ เซ็นเอกสารเสร็จก็ยื่นให้เขา แล้วเจียเออร์ก็พ่ายแพ้ให้กับความอยากรู้อยากเห็นของตน

“วันนี้ตื่นเช้านะครับ”

ต้วนอี๋เอินเลิกคิ้ว ก่อนจะทำหน้าเข้าใจ “อ๋อ… เปล่าหรอกครับ ผมยังไม่ได้นอน”

“ฮะ?” เจียเออร์กะพริบตาปริบ ๆ “นี่แปดโมงแล้วนะครับ”

“ผมนอนเก้าโมงเช้า ตื่นสามทุ่ม” อีกฝ่ายตอบหน้าตาย “ขอบคุณสำหรับพัสดุครับ” ก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านไปเหมือนทุกครั้งที่เคยเจอ

เจียเออร์มองตามแผ่นหลังที่หายเข้าไปในบ้าน แอบคิดว่าพอมีสติแล้วอีกฝ่ายก็พูดสุภาพดี แต่ปกติเหวี่ยงจนน่ากลัว ถึงอย่างนั้นก็เถอะ อาชีพประเภทไหนกันที่ตื่นตอนกลางคืนนอนตอนเช้า?

เขาได้แต่ยักไหล่กับตัวเอง ยึดคติว่าไม่ใช่กงการอะไรเหมือนเดิม แล้วสายตาเขาก็เหลือบไปเห็นอะไรไว ๆ ที่หางตา

เอ๊ะ…?

เจียเออร์ชะงัก จ้องมองสิ่งที่เขาเพิ่งเห็นแวบ ๆ เมื่อครู่ บนระเบียงชั้นสองของบ้าน ผ้าม่านดึงออกเผยให้เห็นกระจกหน้าต่างบานสูงจรดเพดานด้านบน ถ้าตาไม่ฝาด เมื่อครู่เขาเห็นเงาคนยืนอยู่

อาจจะเป็นคนในบ้านอีกคนก็ได้?

คิดเพียงเท่านั้นแล้วตัดสินใจขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ขับออกไป

D-5 HAZE | Jackson x Mark, Yugyeom x Bambam

HAZE

30 Day Drabble Challenge – DAY5

Jackson x Mark
Yugyeom x Bambam

  • แดรบเบิลนี้เป็นส่วนหนึงของ 30 Day Drabble Challenge

 

———-

 

Haze (v.) to play tricks on someone, especially a new person in a fraternity or sorority – Cambridge Dictionaries Online

 

แบมแบมโดนแกล้งอีกแล้ว

โอเค ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ถึงจะโดนอีกร้อยครั้งเขาก็ไม่ชิน ไม่มีวันชิน

เขาโดนแกล้งด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง ตั้งแต่เป็นเด็กใหม่ เป็นน้องเล็กที่สุดของกลุ่มเด็กฝึก เป็นคนหัวอ่อน พูดเกาหลีไม่เก่ง เป็นคนต่างชาติ หรืออะไรก็แล้วแต่

สถานการณ์ดีขึ้นนิดหน่อยตอนที่เขาเริ่มสนิทกับพี่มาร์ค อย่างน้อยพี่มาร์คก็ดูอาวุโสพอที่จะทำให้คนอื่นไม่กล้าแกล้งเขา

แต่วันหนึ่ง พอคนที่เขาพึ่งพาย้อนมาแกล้งเขาเอง แบมแบมก็ทำตัวไม่ค่อยถูกนัก…

ตั้งแต่พี่แจ็คสันเข้ามาเป็นเด็กฝึก พี่มาร์คอารมณ์ดีขึ้น พูดเก่งขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็เหมือนถอยห่างจากเขาออกไป ยังดีที่พี่แจ็คสันนึกอยากคุยกับเขา ตอนหลังพวกเขาสามคนเลยค่อนข้างสนิทกัน

แต่ไม่ได้แปลว่าสองคนนั้นไม่อยากแกล้งเขานะ…

แบมแบมรู้ดี การผนึกกำลังกันระหว่างพี่แจ็คสันกับพี่มาร์คเป็นสิ่งที่น่ากลัวเกินบรรยาย เพราะเหยื่อมักเป็นเขาประจำ เขาเคยคิดว่าถ้าวันหนึ่ง พวกพี่แจบอมกับพี่จินยองมาร่วมด้วยมันจะฉิบหายถึงระดับไหน แต่พอจินตนาการแล้วก็รู้สึกว่า ควรหยุดคิดดีกว่า

คิดอะไรไปไกลมาก จะว่ายังไงดี ก็เขาไม่รู้ว่าต้องทำยังไง แต่ตอนนี้ แบมแบมอยู่ในห้องเก็บของแห่งหนึ่งในตึกนี่แหละ

เป็นห้องเก็บของที่ต้องเปิดไฟจากด้านนอก และต้องไขกุญแจเข้ามา ปกติแบมแบมไม่เคยสนใจห้องนี้ รู้แค่ว่ามีมันอยู่ และเขาไม่นึกว่าวันหนึ่งจะต้องโดนพี่ชายที่รักสองคนหลอกมาขังในห้องนี้นี่นา

เล่นอะไรกันก็ไม่รู้…

แบมแบมไม่กลัวเท่าไหร่ จริง ๆ คือไม่กลัวเลย เขารู้ดีว่าห้องเก็บของนี้อยู่ใกล้ห้องซ้อม หรืออย่างน้อยพี่แจ็คสันกับพี่มาร์คก็คงไม่ลืมเขาไว้ข้ามวันข้ามคืน น่าเสียดายที่แบมแบมฝากมือถือไว้กับพี่มาร์ค เขาเลยไม่มีอะไรทำมากไปกว่าการนั่งเฉย ๆ รอใครสักคนมาเปิดประตู

…เอ๊ะ หรือจริง ๆ พี่มาร์คหลอกเอามือถือเขาไปหว่า?

แบมแบมถอนหายใจ เขานั่งมองกล่องมากมายที่เรียงรายอยู่ตรงหน้า เพราะความมืดเลยไม่รู้ว่ามันมีอะไรบ้าง แต่ไม่มีอะไรอันตรายในนี้หรอก ใครจะเอาวัตถุไวไฟมาเก็บในค่ายเพลงกัน

ทันใดนั้น จู่ ๆ ประตูก็เปิดออก แสงสว่างที่ส่องเข้ามากะทันหันทำให้แบมแบมต้องยกแขนขึ้นบังตา ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนไปเมื่อพบว่าคนที่เปิดประตูเข้ามาช่วยเขา คือคนที่เขาไม่ชอบหน้าที่สุด

คิมยูกยอม

 

“สองคนนั้นทะเลาะกันอีกแล้ว”

หลายชั่วโมงก่อน มาร์คพึมพำประโยคนี้ขึ้นมาตอนที่นั่งอยู่ข้างแจ็คสันระหว่างช่วงพัก คนฟังหันมามองอย่างสงสัย

“หมายถึงใคร?”

“แบมแบมกับเด็กคนนั้น… คิมยูกยอม”

มาร์คเป็นคนช่างสังเกต พออยู่ด้วยกันสักพักแจ็คสันก็ตระหนักข้อนี้ดี ถึงจะเงียบ ไม่ค่อยออกความเห็น และทำเป็นเมินเฉยกับทุกอย่าง แต่จริง ๆ แอบเก็บรายละเอียดอยู่เงียบ ๆ

“ทะเลาะอะไรเหรอ?” แจ็คสันถามกลับ

“ไม่แน่ใจ” มาร์คเอียงคอคิด “แต่คงเป็นเรื่องเดิม ๆ ฉันรู้สึกว่าสองคนนั้นไม่ชอบขี้หน้ากัน”

“เพราะอะไรอะ?” แจ็คสันถามอีก ยื่นขวดน้ำที่เปิดฝาแล้วให้มาร์ค คนโตกว่ารับไปยกดื่มก่อนตอบ

“นายลองเดาสิ”

“คงแค่ไม่ชอบขี้หน้าเฉย ๆ”

“อืม…”

“ทำไม? ขัดใจหรือไง?” เขาหันไปยิ้มขำให้ “เป็นคนใจดีจริงนะ”

“เปล่าสักหน่อย” คนฟังเกาแก้มเหมือนจะเขิน “ก็แค่ ต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน สนิทกันไว้ก็ดีกว่าไหม? เป็นคู่แข่งกันแค่ตอนสอบก็พอแล้ว”

แจ็คสันพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ก่อนจะผุดลุกขึ้น มาร์คมองตามอย่างสงสัย

“อะไร?”

“ไปทำให้สองคนนั้นสนิทกันไง”

มาร์คยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ยอมลุกตาม แจ็คสันเดินนำเขาไปหาแบมแบมที่กำลังยืดตัวอยู่

“แบมแบม”

เด็กชายเงยหน้าขึ้นมามองอย่างสงสัย หน้าตาใสซื่อไร้พิษภัยชวนแกล้งเสียเหลือเกิน

“มากับพวกพี่หน่อยสิ”

แม้จะมีสีหน้าสงสัย แต่ก็ยอมลุกตามมาแต่โดยดี มาร์คมองแจ็คสันที่ชวนแบมแบมคุยเรื่อยเปื่อยสลับกับทางเดินแล้วก็เข้าใจ

“ถึงแล้ว”

แจ็คสันโพล่งขึ้นมา พวกเขาสามคนอยู่หน้าประตูบานหนึ่งที่ไม่ห่างจากห้องซ้อมนัก แต่เป็นมุมอับที่คนปกติไม่มาเดินกัน

“คือว่า” แจ็คสันเกาแก้มไปพูดไป “ฉันลืมของไว้ในห้องนั้น แต่ว่าของมันกลิ้งเข้าไปอยู่ในซอกด้านใน ฉันกับมาร์คตัวใหญ่ไป เข้าไปหยิบไม่ได้ นายช่วยหน่อยได้ไหม?”

แบมแบมมองคนพูดแล้วก็มองมาร์ค

“ของอะไรครับ?”

แจ็คสันชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนมาร์คจะตอบ “แหวนน่ะ”

เด็กชายมองพวกเขาสลับกัน ก่อนจะยิ้มกว้างให้ “ได้ครับ แป๊บนึงนะ”

เด็กเอย…

พอแบมแบมก้าวเข้าไปในห้องปุ๊บ แจ็คสันก็ปิดประตูทันที ประตูบานนี้ล็อกอัตโนมัติเพราะกลัวขโมย พอเสียงประตูเงียบลง ก็ได้ยินเสียงเล็ก ๆ โวยวายมาจากข้างใน

“พี่! แล้วผมจะออกไปยังไง!?”

“อา…” แจ็คสันทำเสียงลำบากใจ “เดี๋ยวพวกฉันลองไปถามคุณป้าแล้วกัน น่าจะมีกุญแจนะ”

“พี่…”

“แล้วเจอกันนะ แบมแบม”

พวกเขาทิ้งท้าย ก่อนจะรีบเดินเร็ว ๆ ตรงไปยังห้องซ้อม แล้วก็เจอกับร่างสูงของเด็กชายอีกคนที่กำลังจะเดินออกมาพอดี

“…พี่แจ็คสัน พี่มาร์ค”

เด็กชายทักและโค้งให้อย่างมีมารยาท แต่ยังไม่ทันจะเดินออกไปทางอื่น มาร์คก็คว้าไหล่นั้นไว้ก่อน

“ยูกยอม!”

“…ครับ?”

“คือว่า…” แจ็คสันพูด “ฉันลืมของไว้ในห้องเก็บของตรงนั้น” มือชี้ไปทางห้องเก็บของที่แบมแบมอยู่ “แต่พวกฉันต้องไปธุระด่วนมาก ถ้ายังไงนายช่วยขอกุญแจจากป้าแม่บ้านแล้วไปเอาของให้หน่อยได้ไหม?”

ยูกยอมขมวดคิ้ว

“มันก็ได้นะครับ แต่ว่า…” ใบหน้าหล่อเหลามองซ้ายขวา “แล้วคนนั้นล่ะ ที่พวกพี่สนิทด้วย… แบมแบมน่ะ”

“ไปไหนไม่รู้ หาไม่เจอน่ะ” มาร์คตอบหน้าตาย “เอาเป็นว่าฝากด้วยนะ” แล้วหันไปหาแจ็คสัน “แจ็คสัน ไปเถอะ”

“อืม” เจ้าของชื่อพยักหน้ารับ ตบบ่าของเด็กตรงหน้าเบา ๆ “ฝากด้วยนะ” แล้วก็รีบเดินแยกไปอีกทาง

ยูกยอมมองส่งหลังไว ๆ ของพี่สองคนไป คงรีบจริง ๆ แต่รีบไปไหนไม่รู้ ของที่ลืมไว้คืออะไรก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน… เขาถอนหายใจ แต่รับปากแล้วคงต้องช่วย

เสียเวลาหาป้าแม่บ้านอยู่ยี่สิบนาที กว่าจะได้กุญแจมากยูกยอมก็แอบคิดว่าพี่สองคนนั้นคงกลับมาแล้ว แต่ก็ไม่ เขาไม่เจอแจ็คสันกับมาร์คอีก เห็นทีคงต้องโทร.หาหลังจากหยิบของให้

ยูกยอมตรงไปที่ห้องนั้น ไขกุญแจห้องแล้วเปิดประตูออก ทันใดนั้นเขาก็ชะงักเมื่อเจอ ‘ของ’ ที่พี่ลืมไว้

เด็กที่เขาไม่ชอบหน้าที่สุด

แบมแบม

 

ตอนที่เห็นว่าใครเปิดประตูให้ แบมแบมตกใจมากแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากคำขอบคุณเบา ๆ ฝ่ายนั้นก็มองจนเขาออกมา แล้วก็มองกลับเข้าไปในห้องอย่างสงสัย

“พี่แจ็คสันกับพี่มาร์ค…”

“ขังฉันไว้ในห้อง” แบมแบมตอบหน้าตาเฉย “ไม่รู้ตั้งใจหรืออะไร แต่ก็ขอบคุณนายที่เปิดให้”

ยูกยอมมองกุญแจในมือสลับกับคนตรงหน้า ก่อนจะส่ายศีรษะเบา ๆ แล้วปิดประตูลง

พี่สองคนนั้นนี่…

เกิดความเงียบขึ้นมาเมื่อพวกเขาต้องเผชิญหน้ากัน ปกติต่างฝ่ายต่างเลี่ยงการสนทนากันอยู่แล้ว ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความรู้สึกไม่ถูกชะตากลายเป็นไม่ชอบขี้หน้าและเลือกได้จะไม่ยุ่งเกี่ยวกันเลย

“เอ่อ…” แบมแบมนึกอยากชวนคุยอะไรสักอย่าง “ทำไมนายถึง…”

ยูกยอมกะพริบตาปริบ ๆ ยักไหล่อย่างไม่สนใจ “ช่างมันเถอะ”

“อ่า… โอเค”

นัยน์ตาของคนสูงกว่าเหลือบมองคนที่ตัวเล็กกว่าอย่างสงสัย

“นายน่ะ”

แบมแบมหันมามอง

“ทำไมถึงได้… น่าหงุดหงิดชะมัด”

พูดไม่จบประโยคแล้วก็หันไปทำหน้าขมวดคิ้ว ทำเอาแบมแบมคิ้วกระตุก

“อะไรของนาย? ฉันก็อยู่เฉย ๆ นะ”

“แค่เห็นหน้านายฉันก็รู้สึกหงุดหงิดน่ะ” ยูกยอมพูดตรง ๆ “นายก็เหมือนกันล่ะสิ”

“เออสิ ก็ดูเจอกันแต่ละครั้ง นายทำหน้าเหมือนฉันไปฆ่าใครตาย”

ยูกยอมเบะปาก แบมแบมเลยเบะตามบ้าง พอคนตัวสูงจะเดินหนี แบมแบมก็คว้าแขนไว้ก่อน

“เฮ้”

“อะไร?”

“นายไม่ชอบอะไรฉัน?”

ยูกยอมนิ่งไป เขาตอบไม่ได้หรอก

“ถ้าตอบไม่ได้ ทำไมไม่ลองคุยกันก่อน” แบมแบมถอนหายใจ “ฉันก็ไม่อยากเกลียดนายด้วยเหตุผลแค่ว่านายไม่ชอบหน้าฉันหรอกนะ”

ประโยคนั้นทำเอาคนฟังหลุดยิ้ม แต่ก็รีบซ่อนไว้ทันที

“เหรอ? ลองดูก็ได้” ยูกยอกยกมือขึ้นมาเป็นท่าแล้วแต่นายเลย “ฉันจะออกไปข้างนอก ถ้านายอยากพิสูจน์อะไรก็ตามมาแล้วกัน”

แบมแบมยิ้มอย่างหมายมั่น

“ได้!”

 

“แล้วสรุปแหวนที่บอกว่าอยู่ในห้อง…”

มาร์คเหล่มองคนข้าง ๆ ที่นอนกลิ้งหน้าตาเฉยอยู่บนเตียงเขา พอตกดึกพวกเขาก็กลับมาห้องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แบมแบมไม่ได้ฟ้องใครเรื่องโดนพวกเขาหลอกขังไว้ในห้องเก็บของ ยูกยอมก็แค่มาบอกพวกเขาว่าขอโทรศัพท์แบมแบมที่อยู่ที่มาร์คหน่อย แล้วก็ออกไปข้างนอกกัน แล้วพวกเขาก็ไม่เจอกันอีก

แจ็คสันหันมามองเขา “ถามอะไรที่นายรู้อยู่แล้วทำไม?”

คนโดนถามกลับหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะโวยวายเมื่อจู่ ๆ คนบนเตียงก็โถมร่างลงมานอนทับเขา

 

FIN

 

20160703

เกือบไม่ได้มาอัป ออกไปข้างนอกมาค่ะ ฮือออ

จบห้วนไปนิด 55555555 แต่ตอนนี้มียูคแบมด้วยนะ ❤

แล้วเจอกันค่า

 

#wirunfic

D-4 SNOWFLAKE | Jackson x Mark

SNOWFLAKE

30 Day Drabble Challenge – DAY 4

Jackson x Mark

 

  • แดรบเบิลนี้เป็นส่วนหนึ่งของ 30 Day Drabble Challenge

 

————–

 

กว่าแจ็คสันจะได้เห็นหิมะครั้งแรกในชีวิตก็เป็นตอนที่เขามาเป็นเด็กฝึกที่เกาหลีใต้ จำได้ว่าวันนั้นเขากับมาร์คออกมาเดินเล่นที่ริมแม่น้ำฮันเพื่อย่อยอาหารเย็นก่อนกลับไปซ้อมต่อ แล้วจู่ ๆ ละอองสีขาวก็ลอยลงมาจากท้องฟ้าช้า ๆ

“มาร์ค” เขาเรียกคนที่เดินข้าง ๆ “นี่อะไรอะ?”

คนอายุมากกว่า(หกเดือน)น่าจะมีประสบการณ์กว่า มาร์คเงยหน้ามองสิ่งที่กำลังหล่นจากท้องฟ้าสีอึมครึมก่อนตอบ

“หิมะไง”

“เนี่ยเหรอ?” เขาส่งเสียงแปลกใจ “เนี่ยนะ?”

มองเกล็ดหิมะที่ร่วงหล่นลงบนฝ่ามือที่รอรับอยู่แล้วก็นึกสงสัย ความเย็นวาบเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะก่อนจะหายไปเมื่อมันละลายกลายเป็นของเหลว เขาพลิกมือดูแต่ก็ไม่พบอะไรอีก

“บอบบางจัง”

“ก็เป็นเกล็ดหิมะนี่”

มาร์คว่าจบก็ยื่นถุงร้อนให้เขา อุณหภูมิลดลงเรื่อย ๆ เมื่อพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน พยากรณ์อากาศบอกว่าคืนนี้อากาศจะเลวร้ายขึ้นและพวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากเก็บตัวในที่พักกับเครื่องทำความร้อน

“แต่สวยนะ”

เขาพูดต่อ มาร์คเงยหน้ามามองอย่างสงสัย แพขนตายาวกะพริบถี่สองสามครั้งขณะที่คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาฉายแววงุนงง ก่อนจะหลุดเสียง “อ้า… เกล็ดหิมะเหรอ?”

แจ็คสันไม่ตอบ แต่คว้าแขนอีกคนให้มาเดินใกล้ ๆ “หนาวไหม?”

“นิดหน่อย”

“เอามือมา”

ดึงข้อมือที่เล็กกว่าเขานิดหน่อยให้มาอยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ตของเขา พร้อมกับใส่ถุงร้อนลงไปด้วย แจ็คสันคล้องแขนอีกคนแล้วกระชับมือที่อยู่ในกระเป๋าแน่น ขณะที่เจ้าของมือข้างนั้นหันมาหาเขายิ้ม ๆ

“ทำอะไรน่ะ?”

“จะได้ไม่หนาวไง”

“เดี๋ยวคนอื่นก็เห็นหรอก”

“ไม่มีใครเห็นหรอกน่า”

เขายิ้มกว้างอย่างมั่นใจ ขณะที่มาร์คเพียงแค่อมยิ้มแล้วไม่พูดอะไรต่อ

แจ็คสันมองใบหน้าขาวจัดที่ขึ้นสีเรื่อตรงปลายจมูกเพราะอากาศเย็นจัด เกล็ดหิมะร่วงหล่นลงตรงนั้นพอดี ทำให้มาร์คยู่หน้าเบา ๆ

“เย็นอะ…”

เขาใช้ข้อนิ้วปัดออกให้เบา ๆ

“นายทำหน้าตลกอะ”

“ก็มันเย็น”

“รสชาติมันเป็นยังไงอะ?”

“ลองอ้าปากดูสิ ถ้ามันตกใส่ปากนายก็คงรู้แหละ”

เขาเลิกคิ้วกลับเป็นเชิงถามว่า ท้าหรืออะไร? แต่มาร์คชิงแลบลิ้นเล็ก ๆ ออกมารอก่อนแล้ว เขาเลยทำตามบ้าง ความเย็นวาบที่ปลายลิ้นทำให้รู้ว่าเจ้าเกล็ดหิมะอันจ้อยคงร่วงลงมาแล้ว แต่ยังไม่ทันรับรสอะไรมันก็หายไปเสียก่อน

“…จืด?”

“ไม่รู้สิ” เขาตอบ “ไม่ทันรู้สึกเลย”

มาร์คบึนปากอย่างขัดใจเล็กน้อย พอเห็นริมฝีปากล่างที่ยื่นออกมานิด ๆ แล้วแจ็คสันก็อดไม่ได้จริง ๆ

จุ๊บ

“……..what the…”

“Just a kiss, don’t worry.”

เขาตอบหน้าตาเฉย ขณะที่มาร์คมองซ้ายมองขวาเหมือนกลัวคนมาตามฆ่า แล้วหันมามองเขาอย่างคาดโทษ

“เดี๋ยวเถอะ”

“ก็ทำหน้าน่ารักทำไม?”

“คราวหน้าฉันไม่ออกมากับนายแล้ว”

“อย่าพูดงี้สิ” เขาหัวเราะ ดึงแขนอีกคนที่ยังอยู่ในกระเป๋ามาใกล้ ๆ มาร์คทำหน้าเหมือนจะดุแต่ก็ยิ้มขำให้เขา

“กลับกันเถอะ”

เขาพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินเคียงข้างอีกคนกลับไปยังตึก ท่ามกลางหิมะที่โปรยลงมาอย่างช้า ๆ

นั่นเป็นครั้งแรกที่แจ็คสันได้เห็นหิมะกับตาตัวเอง

 

FIN

 

20160702

กว่าจะได้เขียน ฮือ วันนี้ทำงานบ้านช่วยแม่ค่ะ ไม่ได้เปิดคอมเลย 555

แล้วเจอกันนนน

 

#wirunfic