#wirunfic – Red (Jackson/Mark)

RED

Jackson x Mark

Drabble

 

 

 

มาร์คชอบสีแดง

เพราะงั้นถึงได้ไปย้อมผมเป็นสีแดงสดโดยไม่ปรึกษาชาวบ้านสักคำ

แจ็คสันชอบสีดำ

แต่เขาก็ไม่ได้เกลียดสีแดง ไม่อย่างนั้นเจ้าของกลุ่มผมสีเพลิงนั่นคงไม่ได้นอนซบอยู่บนไหล่เขาหรอก

 

แจ็คสันไม่ได้เกลียด แต่ก็ไม่ได้ชอบสีแดง

เขาก็แค่ชอบ… สีแดงที่อยู่บนตัวมาร์คก็เท่านั้น

 

FIN

#wirunfic – Untitled (JB/Jinyoung)

JB x Jinyoung

 

UNTITLED 

 

Note: …คิดชื่อเรื่องไม่ออก

 

 

 

แจบอมหงุดหงิดเพื่อนรอบตัวที่เอะอะก็สร้างบรรยากาศรักหวาน ๆ โดยไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนเลย ก็รู้อยู่ว่าพวกมันสองคนมีความหน้าด้านและฟรีเรื่องพวกนี้ตามประสาคนที่หนึ่งในนั้นโตเมืองนอก และไม่เคยคิดจะห้ามความอยากของอีกคนเลย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมาจู๋จี๋ต่อหน้าคนโสดอย่างเขาได้ตลอดเวลาไหม!?

 

“กากา~ อันนี้อร่อยนะ กินไหม?”

 

“มาร์คน่าอร่อยกว่าอีก”

 

จะอ้วกว้อย

 

แจบอมเบือนหน้าหนีภาพเพื่อนสนิทสองคนที่ไม่รู้ว่าระหว่างอาหารตรงหน้ากับคนที่มันออเซาะอยู่ด้วย อะไรจะลงท้องไปก่อนกัน เห็นแล้วได้แต่มองบน

 

เออ ไอ้พวกมีแฟนแล้ว

 

“แจบอม อย่าทำหน้าเหมือนไม่ได้กินข้าวมาทั้งเดือนสิ” มาร์คหันมายิ้มอ่อนให้ ขณะที่แจบอมทำเสียงเหอะขึ้นจมูก

 

“ฉันไม่ได้อิ่มทิพย์แบบพวกนายนี่”

 

“อิ่มทิพย์อะไรกัน” แจ็คสันเถียง “นี่เขาเรียกอิ่มความรัก”

 

โอ๊ย ไปไกล ๆ ได้ไหม ถ้าไม่ไปเดี๋ยวเขาไปเอง

 

ว่าแล้วแจบอมก็ทำท่าจะลุกออกจากที่นั่ง แต่ก็ต้องเซกลับมาทันทีเพราะตอนหันไปดันไปชนกับคนที่เดินสวนมาพอดี

 

“ขะ…ขอโทษครับ / ขอโทษที…”

 

ต่างฝ่ายต่างพูดพร้อมกัน ก่อนที่แจบอมจะตาค้างเมื่อเห็นว่าคนที่ตัวเองชนคืออาจารย์พัคจินยองแห่งภาควิชาภาษาศาสตร์

 

“อาจารย์…”

 

“ไม่เป็นไรครับ” อาจารย์พัคยิ้ม ๆ ให้พวกเขา ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้แจบอมทำอะไรไม่ถูกและได้แต่มองตามอยู่พักหนึ่ง จนได้ยินเสียงเพื่อนรักพูดขึ้นมา

 

“อาจารย์พัคนี่น่ารักจริง ๆ นะ…”

 

“นั่นสิ ไม่ใช่อาจารย์ภาคเรา แปลว่าไม่ใช่อาจารย์เราหรือเปล่า?”

 

“งี้ก็จีบได้สิ”

 

แจบอมหันไปมองค้อนเพื่อน ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดแรง เหนื่อยอะไรไม่รู้เหมือนกัน

 

ทันใดนั้นมือถือเขาก็สั่น เขาหยิบมันขึ้นมาดูโดยระวังไม่ให้สองตัวนั่นเห็น

 

ขอโทษนะ ชนคุณเต็ม ๆ เลย

ไว้ผมจะขอโทษอีกทีตอนกินข้าวด้วยกันนะ

 

จินยอง

 

แจบอมลอบยิ้มก่อนกดส่งข้อความตอบ

 

อาจารย์พัคคนดังอุตส่าห์เดินชนผม

เป็นเกียรติมากกว่าอีกครับ 😀

 

แจบอม

#wirunfic – Annoyed (Jae/YoungK)

Jae x YoungK

ANNOYED

 

 

 

มีเรื่องน่ารำคาญใจยองฮยอนอยู่สองสามอย่างในช่วงนี้

เรื่องใหญ่คงเป็นเรื่องโปรเจกต์ไฟนอลของวิชาจิตวิทยาสังคมที่ต้องตามหาคนสัมภาษณ์ ในหัวข้อซึ่งยองฮยอนอ่านกี่ทีก็รู้สึกอยากถามที่ประชุมว่าอะไรทำให้โหวตเลือกหัวข้อนี้เป็นหัวข้อทำวิจัย แต่เสียงส่วนน้อยอย่างเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเออออและทำงานไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ แล้ววันก่อนก็มาเกิดอาเพศงานหายไปเสียอย่างนั้น ยองฮยอนหงุดหงิดมาก และกำลังคิดว่าจะทำยังไงให้มันเสร็จก่อนวันนำเสนออาทิตย์หน้า

เรื่องที่สองคือเรื่องเกี่ยวกับชมรมดนตรีที่เขาอยู่ อีกไม่กี่อาทิตย์จะถึงวันแสดงแล้วก็ยังไม่ได้ซ้อมอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ยองฮยอนพยายามนัดซ้อมแล้วก็ว่างไม่ตรงกันสักที จนเขาเบื่อจะคุยแล้ว

ส่วนเรื่องสุดท้าย

“…พี่มาทำอะไร?”

พัคเจฮยอง รุ่นพี่ปีสี่ที่ทำตัวน่ารำคาญที่สุดในความรู้สึกของยองฮยอนตอนนี้

เขาเพิ่งเลิกเรียนวิชาสาขาและกำลังจะรีบออกไปประชุมกับเพื่อนที่หน้าคณะ แต่ก็ดันโดนรุ่นพี่แว่นตัวสูงโย่งนี่ดักรอตั้งแต่ยังไม่ก้าวออกจากห้องเรียน

“ยองฮยอนอา…”

อีกฝ่ายเรียกเขาเสียงอ่อน ท่าทางสำนึกผิด แต่ยองฮยอนไม่สนใจ และตั้งใจจะเดินหนี

ทว่าเจฮยองก็ยังขวางเขาไว้ได้อีก

“ยองฮยอน อย่าทำแบบนี้สิ พี่รู้สึกผิดนะ”

“พี่ก็ต้องรู้สึกแบบนั้นมันก็ถูกแล้ว” เขาสวนกลับทันที “อีกอย่างผมรีบ มีอะไรไว้ค่อยคุยกันวันหลัง”

“งั้นก็ตอบข้อความพี่สิ ถ้านายตอบพี่จะต้องมารอแบบนี้ไหม”

ยองฮยอนหรี่ตามองคนตรงหน้า

“รู้แล้วเหรอว่าผมโกรธเรื่องอะไร”

“…ยังอะ”

เขาถอนหายใจ “ผมบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ? พี่เคยคิดจะสนใจบ้างไหมเวลาผมพูดอะไรน่ะ”

“ยองฮยอนอา…”

เจฮยองทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่แล้ว แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่ยองฮยอนจะมาสนใจ เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู อีกสองนาทีจะประชุม เขายังไม่ลงไปข้างล่างเลย

“ผมมีประชุม ถ้าพี่นึกออกว่าตัวเองทำอะไรผิดก็อยู่รอจนกว่าผมจะประชุมเสร็จ สำนึกผิดไปด้วยแล้วกัน”

พูดจบก็เบี่ยงตัวเดินไปที่ลิฟต์ทันที ปล่อยเจฮยองให้หน้าเสียไปอีกประมาณหนึ่งนาทีจึงระลึกได้ว่าควรโทร.ไปปรึกษาเพื่อนสนิท

“ทำไงดีวะ… ซองจิน”

ปลายสายถอนหายใจ “แล้วนี่รู้หรือยังว่าน้องมันงอนเรื่องอะไร?”

“ไม่รู้… ไม่สิ จริง ๆ ก็พอเดาได้ แต่ไม่นึกว่าน้องมันจะโกรธขนาดนี้”

“เรื่องอะไร?”

เจฮยองถอนหายใจ มองจากระเบียงหน้าห้องที่เขายืนอยู่สามารถมองเห็นยองฮยอนที่ประชุมกับเพื่อนอยู่ที่โต๊ะได้ชัดเจน

“ก็…เผลอลบวิจัยน้องไปเพราะคิดว่าเป็นไฟล์ขยะ…”

“………………………………น้องไม่ฆ่าแกก็บุญแล้ว พัคเจฮยอง”

“ฮืออออออ ก็ไม่ได้ตั้งใจไหมล่ะะะะ”

“แล้วบอกน้องไปหรือยังล่ะ?”

“ยัง ตอนนั้นบอกไปแค่ว่านึกว่าเป็นไฟล์ขยะ ก็เห็นน้องเขียนชื่อไฟล์ประหลาด ๆ …”

“…”

“…”

“…ไปสำนึกผิดซะเถอะ”

ซองจินตัดสายไปแล้ว ขณะที่เจฮยองได้แต่คอตกมองน้องจากระเบียงชั้นบน

ฮือ ยองฮยอน พี่ขอโทษ

 

 

 

 

“ฮือ ยองฮยอน พี่ขอโทษ พี่สำนึกผิดแล้วจริง ๆ พี่จะช่วยทำวิจัยที่ลบไปให้นะ หายงอนพี่เถอะ”

ข้อความบนหน้าจอมือถือทำให้คนอ่านหลุดยิ้ม เรื่องน่ารำคาญใจหายไปสองเรื่องในเวลาเดียวกัน เขาเงยหน้าขึ้นมามองที่ประชุมเมื่อเพื่อนถามว่าเขายิ้มอะไร และยองฮยอนตอบไปเพียงว่า “เปล่า ไม่มีอะไร” ก่อนจะประชุมต่อ

เขาก็ไม่ได้ใจแข็งขนาดนั้นสักหน่อย พัคเจฮยองนี่กว่าจะฉลาด เสียเวลาไปหลายวันเลยนะ

 

FIN

  • อะไรเอ่ย
  • พี่เจไง
  • พี่เจกับยองยอนไงงงง

#wirunfic – Impossible (Jackson/Mark)

Jackson x Mark

IMPOSSIBLE

Drabble

 

 

 

 

 

“คิดถึง”

ข้อความที่ปรากฏบนจอโทรศัพท์พาให้มาร์คถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเก็บมันกลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ต อากาศปลายเดือนตุลาคมเริ่มเย็นจัดจนต้องหุ้มตัวด้วยผ้าหนา ๆ ถ้าเป็นเมื่อปีก่อนมาร์คคงดีใจกับการเข้าสู่หน้าหนาว แต่สำหรับปีนี้มีแต่จะทำให้เขาทอดถอนใจมากขึ้นทุกที

ท่ามกลางผู้คนมากมายที่ยืนรอข้ามถนน มาร์คกระชับเสื้อคลุมให้แน่นขึ้นเล็กน้อย เขามองไปยังฝั่งตรงข้ามที่มากด้วยผู้คนไม่แพ้กัน ก่อนจะรู้สึกเหมือนตัวเองตาฝาดเมื่อพบคนคล้าย ๆ เจ้าของข้อความที่เพิ่งส่งมาอยู่ที่ปลายทาง

เป็นไปไม่ได้

ที่นี่ไม่ใช่ฮ่องกง ยิ่งไม่ใช่เกาหลีที่พวกเขาเคยอยู่ด้วยกัน ที่นี่คือนิวยอร์ก สถานที่ซึ่งมาร์คตัดสินใจทิ้งทุกอย่างแล้วกลับมาเรียนต่อ

เป็นไปไม่ได้หรอกที่แจ็คสันจะมาอยู่ตรงนี้

มาร์คคิดว่าเขาคงตาฝาด จึงหยิบมือถือขึ้นมากดเปิดเพลงฟังเพื่อดึงสมาธิของตนกลับ เสียบหูฟังเข้าหูและนับเวลาถอยหลังจากไฟจราจรที่อยู่ตรงหน้า

ทันทีที่สัญญาณจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว มาร์คและกลุ่มคนจำนวนมากสาวเท้า ๆ เร็ว ๆ เพื่อจะข้ามไปอีกฝั่ง มือสองข้างของมาร์คซุกในกระเป๋าโค้ตขณะที่ก้าวขาให้ยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้

ก่อนที่แขนของเขาจะถูกรั้งไว้

แล้วโลกก็หยุดหมุน ตอนที่เขาได้พบคน ๆ นั้นอีกครั้ง

“มาร์ค”

“…แจ็คสัน”

เป็นไปไม่ได้หรอก

เป็นไปไม่ได้หรอกที่แจ็คสันจะมาอยู่ตรงนี้

 

FIN

/ปั่น fictober ยังไงให้ทันคะ /ลงแดรบเบิลวนไป

#VMark – Call

CALLING

Drabble

VMark | Kim Taehyung x Mark Tuan

 

 

 

 

 

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทันทีที่การซ้อมรอบล่าสุดเสร็จสิ้นลง ทุกคนต่างก็ทิ้งตัวลงนอนตามจุดต่าง ๆ ของห้องซ้อมด้วยความอ่อนล้า ขณะที่มาร์คเดินไปที่โซฟาเพื่อหยิบมือถือของตนขึ้นมา พอเห็นว่าใครโทร.เข้ามาก็หลุดขำ ก่อนจะกดรับสาย

“ฮัลโหล?”

“ฮัลโหล ฮยอง!” ปลายสายฟังกระตือรือร้น “ทำอะไรอยู่น่ะ?”

“ไม่คิดจะเปลี่ยนคำถามบ้างหรือไง?”

เป็นเวลาหลายเดือนแล้วตั้งแต่ที่คิมแทฮยองและมาร์คได้แลกเบอร์โทรศัพท์กัน พวกเขาเจอกันหลายครั้งตามงานต่าง ๆ แต่เพิ่งได้มีเบอร์โทร.คุยกันก็ตอนต้นปีที่ผ่านมา มาร์คไม่คิดว่าการแลกเบอร์จะได้อะไรไปกว่าการมีข้อมูลติดต่อ กระทั่งวันหนึ่งที่เด็กนั่นโทร.มาหาเขา แล้วก็เริ่มประโยคด้วยคำถามสุดเบสิก

“ทำอะไรอยู่เหรอครับ?”

แล้วมันก็เป็นแบบนั้นมาตลอด

มาร์คถามคำถามกลับแล้วทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา ก่อนว่า “เพิ่งซ้อมเสร็จ มีอะไรหรือเปล่า?”

“เปล่า…” ปลายสายพึมพำเสียงอ่อน “โอเค ผมรู้ว่าตัวเองยังไม่ได้สนิทกับฮยองมากถึงขั้นจะโทร.มาถามอะไรแบบนี้ทุกวันได้ แต่ผมอยากคุยกับฮยองนี่นา”

ถึงไม่ทุกวันแต่ก็เกือบทุกวันนะ

คนฟังเลิกคิ้ว “คุยอะไร? พูดช้า ๆ หน่อย ฉันฟังไม่ทัน”

“อะ โทษที” ปลายสายรีบพูด “คือ… ฮยองสะดวกคุยกับผมหรือเปล่า? หรืออยากพักมากกว่า?”

มาร์คถอนหายใจขำ ๆ “แล้วนายทำอะไรอยู่ล่ะ? แทฮยอง”

 

 

 

 

 

“แล้วนายทำอะไรอยู่ล่ะ? แทฮยอง”

ประโยคคำถามกลับมาสั้น ๆ รวมกับการเรียกชื่อเขาด้วยเสียงทุ้ม ๆ ทำคิมเอาแทฮยองแทบวิญญาณหลุด เขายกมือปิดปากด้วยความไม่เชื่อหูตัวเอง ก่อนจะรีบละล่ำละลักตอบเมื่ออีกฝ่ายถามซ้ำอีกรอบ

“เอ่อคือ… ผมกำลังจะไปหาอะไรกินกับเพื่อน” เหลือบมองจองกุกที่เดินข้าง ๆ เล็กน้อยแล้วรีบพูดต่อ “ฮยองกินอะไรหรือยัง?”

“ว่าจะกินอยู่ — แจ็ค! รอด้วย”

ได้ยินปลายสายคุยอะไรกับเพื่อนสักอย่างเป็นภาษาอังกฤษ แทฮยองแอบฟังแล้วพอจับใจความได้ว่าเป็นเรื่องไปกินข้าว ก่อนที่มาร์คจะกลับมาคุยกับเขาอีกครั้ง

“แค่นี้ก่อนนะ ฉันจะไปแล้ว”

“อืม” เขาพยักหน้ารับแม้ปลายสายจะมองไม่เห็น “รักษาสุขภาพด้วยนะ แล้วถ้าไม่ว่าอะไร ผมโทร.ไปอีกได้ใช่ไหม?”

ปลายสายเงียบไปพักหนึ่ง เป็นความเงียบที่ทำเอาคนรอถึงกับต้องชะลอฝีเท้าที่กำลังเดินไปตามทางเดินลงด้วยความคาดหวัง ก่อนจะได้รับคำตอบกลับมา

“แล้วแต่นายสิ นายเป็นคนโทร.นี่”

แทฮยองแอบทำท่า ‘Yes’ กับตัวเอง ก่อนจะรีบเอ่ยลา

“ถ้างั้นผมไม่รบกวนฮยองแล้ว แค่นี้นะครับ ไว้เจอกัน”

ปลายสายวางไปแล้ว สติแทฮยองก็หลุดลอยไปพร้อม ๆ กับสัญญาณมือถือที่สิ้นสุดลงด้วย เขายืนนิ่งอยู่พักหนึ่งจนน้องเล็กที่เดินนำไปก่อนต้องหันมามอง

“…ยืนทำอะไรฮยอง? หิวแล้ว รีบไปเหอะ”

แทฮยองยิ้มกว้างให้ ก่อนจะรีบวิ่งตามไป แม้ตอนนี้จะรู้สึกว่าตัวเองปราศจากความหิวโดยสิ้นเชิง

 

FIN

 

 

 

 

TALK

20161027

ขอสักนิดเหอะ เหมือนรออะไรสักอย่างมานานแล้วพอวันหนึ่งมันตู้มมมมมมม เราก็สติแตกไปแล้ว

นี่ก็สติแตกจริง ๆ พิมพ์อะไรไม่รู้เรื่องเลย ฮืออออออ /เป็นบ้า

ขอบคุณทุกท่านที่สนใจเรือผีลำนี้

คอมเมนต์หรือติดแท็ก #wirunfic ตามสะดวกค่ะ

#จาร์คแฟนบอย – 7 When the Idol Turns to Be A Fan of His Fan

บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย, Y, BL
หากไม่ชอบกรุณากดปิด

บทความนี้เป็นแฟนฟิกชั่นซึ่งเกิดจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล เหตุการณ์ หรือสถานที่ใด ๆ ทั้งสิ้น


THE SECRET LIFE OF MARK TUAN

GOT7 Fan Fictions

Jackson x Mark

7
When the Idol Turns to Be A Fan of His Fan

 

 

แจ็คสัน หวัง แทบจะกระโดดตัวลอยตอนที่ได้รับข้อความจากคนที่อยากคุยด้วยมานาน ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์ทัก Direct Message ในทวิตเตอร์ไปหา ในที่สุด มาร์ค ต้วน ก็ตอบกลับเขามา

 

คุณรู้จักผมเหรอ? คุณเป็นใครครับ?

17s

 

             แน่นอนสิครับ ผมน่ะรู้จักคุณดีเลย

             คุณที่บล็อกคาทกผมน่ะ

             5s

 

อีกฝ่ายเงียบไปนาน นานจนแจ็คสันต้องลุกจากเตียงเดินวนรอบห้องพัก และมันคงน่าเวียนหัวจนผู้จัดการส่วนตัวของเขาต้องเอ่ยปาก “จะเดินอีกกี่รอบ ซ้อมสวนสนามหรือไง?” แจ็คสันเลยกลับมานั่งอยู่ที่เตียงอีกรอบ

 

สัมผัสนุ่ม ๆ ของเตียงกว้าง ๆ ในห้องพักหรู ณ โรงแรมใจกลางกรุงเทพมหานคร ไม่ได้ทำให้แจ็คสันสบายใจขึ้นมาเลย ในเมื่อจะห้านาทีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีข้อความตอบกลับมา

 

หรือมาร์คบล็อกทวิตเขาไปอีกคน?

 

ด้วยความวิตก แจ็คสันรีบกดเข้าไปดูหน้าแอคเคาท์ของมาร์ค แต่ก็ยังไม่พบความเคลื่อนไหวใด มาร์คไม่ได้บล็อกทวิตเขา และยังไม่ได้ทวิตอะไรตั้งแต่ห้านาทีที่แล้ว

 

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น แจ็คสันละสายตาจากมือถือไปมองผู้จัดการที่วุ่นวายกับแล็ปท็อปของตัวเองอยู่ และอิมแจบอมก็หันมามองเขาด้วย

 

“นายเปิดสิ” เขาชิงพูดก่อน เลยได้เห็นท่าทางหงุดหงิดจากคนเป็นผู้จัดการ ที่คงเซ็งเพราะโดนเขาขัดจังหวะทำงานนั่นแหละ

 

เหอะ หมั่นไส้

 

ความหมั่นไส้ของแจ็คสันที่มีต่ออิมแจบอมเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวตั้งแต่วันที่เขาได้รู้ว่า อิมแจบอมมีแฟนชื่อปาร์คจินยอง ซึ่งเป็นเลขานุการของมาร์ค ต้วน

 

ย้อนนึกไปถึงวันนั้นแล้วอยากหัวเราะดัง ๆ

 

 

 

 

ประตูห้องพักเปิดออกอย่างแรงทั้งที่อิมแจบอมยังไม่ทันสัมผัสลูกบิดประตูสักนิด และเมื่อมันเปิดออกจนหมดก็เผยร่างของไอดอลหนุ่มที่มีสีหน้าแตกตื่นอย่างปิดไม่มิด

 

“อิมแจบอม!”

 

“…อะไร?”

 

แจบอมถึงกับผงะถอยไปเล็กน้อยเมื่อเจอท่าทางเหมือนจะสอบปากคำของคนอายุน้อยกว่า แจ็คสัน หวัง ลากเขาไปนั่งตรงโซฟากลางห้องในห้องพักส่วนตัวของตน (ที่ผู้จัดการอย่างเขาต้องมาอยู่ด้วย) ก่อนจะเริ่มคำถามที่ทำเอาตาขีด ๆ ของอิมแจบอมเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย

 

“นายเป็นแฟนกับจูเนียร์เหรอ?”

 

“…นายรู้จักจูเนียร์?”

 

คำถามที่ย้อนถามอย่างสงสัย แต่เพิ่มความมั่นใจให้แจ็คสันมากกว่าเดิม

 

ชัดเลย ชัดเลยว่าใช่

 

“เปล่า ฉันไม่ได้รู้จักเขา” แจ็คสันหรี่ตา ทำหน้าจริงจัง “แต่ฉันเดาว่าเขาเกี่ยวข้องกับมาร์ค ทีนี้นายจะตอบฉันมาตรง ๆ หรือต้องให้ฉันจัดการสืบเอง”

 

แจบอมถอนหายใจพรืด ยอมจำนนต่อทุกคำพูดนั้น เขาคาดเดาไว้แล้วว่าเวลานี้ต้องมาถึงสักวัน แต่ไม่นึกว่าจะมาถึงเร็วขนาดนี้

 

ก็นะ… แจ็คสันก็ไม่ใช่คนโง่

 

หลังจากเล่าเรื่องทั้งหมดให้แจ็คสันฟัง ชายหนุ่มก็มีท่าทีสงบลงมาก และที่สำคัญ… ยิ้มกว้างฉีกถึงหูตลอดเวลา

 

“นายจะหยุดยิ้มแบบนั้นได้หรือยัง ดีใจอะไรนักหนา”

 

แจบอมอดแขวะไม่ได้ แทนที่แจ็คสันจะอารมณ์เสียที่เขามีความลับที่ใกล้ตัวอีกฝ่ายขนาดนี้ แต่กลับมาฉีกยิ้มเริงร่าเหมือนถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งเสียอย่างนั้น

 

หรือจะรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ

 

“ทำไมจะไม่ดีใจล่ะ” แจ็คสันยิ้มจนตาหยี ตบไหล่ผู้จัดการคนเก่งเบา ๆ “ฉันนี่โชคดีจริง ๆ ที่มีนายเป็นผู้จัดการ คุณอิมแจบอม”

 

“…อะไรวะ”

 

“แล้วพรุ่งนี้มาร์คจะไปไหนล่ะ นายรู้หรือเปล่า?”

 

แจบอมมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่ไว้ใจ

 

“ถามทำไม”

 

“…ก็อยากรู้เฉย ๆ”

 

“ไม่ต้องรู้หรอกน่า”

 

“เหอะน่า อิมแจบอม ฉันกราบล่ะ” แจ็คสันพนมมือแทบจะไหว้คนตรงหน้า “ให้ทำอะไรก็ยอมอะ บอกทีเหอะว่าฉันจะเจอมาร์คอีกได้ยังไง”

 

“…นายเป็นอะไร”

 

คำถามที่จู่ ๆ ก็เอ่ยขึ้นมาทำเอาแจ็คสันชะงัก

 

“อะไร?”

 

“นายเป็นอะไร?”

 

“…หมายถึงอะไร?”

 

อิมแจบอมถอนหายใจแรง

 

“ที่คอยถามตลอดว่ามาร์คอยู่ไหน ทำอะไร อยากรู้ว่าเขาจะไปไหนน่ะ นายเป็นอะไร? รู้สึกยังไงกันแน่?”

 

“ฮะ…”

 

มีเพียงเสียงแปลก ๆ หลุดออกมาจากลำคอ ก่อนความเงียบจะเข้ามาแทนที่ แจบอมหัวเราะขึ้นจมูกก่อนพูดต่อ

 

“ถ้ายังไม่รู้ว่าอยากรู้ไปทำไม งั้นก็ไม่ต้องรู้ต่อไปนั่นแหละ”

 

ว่าแล้วก็ลุกเตรียมจะเดินเข้าห้องนอนของตัวเองไป และนั่นทำให้แจ็คสันต้องรีบคว้าแขนอีกคนไว้

 

“โอเค ได้ ๆ ฉันจะบอกแล้ว อย่าเพิ่งเดินหนีสิวะ”

 

แจบอมหรี่ตา เลิกคิ้วเป็นเชิงว่า “พูดสิ” และแจ็คสันสาบานว่าตาตี่ ๆ ที่มีไฝสองจุดตรงเปลือกตานั่นกวนประสาทจนอยากชกหน้าเลยทีเดียว

 

“ฉัน…” แจ็คสันสูดหายใจลึก ก้มมองพื้น ก่อนถอนหายใจอย่างจำยอม “…คิดว่าฉันชอบเขาว่ะ”

 

“ชอบ?”

 

“แบบว่า …สนใจ?”

 

“คงงั้น” ชายหนุ่มยกมือข้างหนึ่งขยี้ผมตัวเองอย่างคิดไม่ตก “ก็… นายจะนิยามความรู้สึกแบบนี้ยังไง นอกจากคำว่าชอบอะ มีภาษาเกาหลีคำอื่นด้วยเหรอ ฉันนึกไม่ออกแล้วจริง ๆ หรือต้องให้พูดเป็นภาษาอังกฤษ”

 

“เออ ๆ เข้าใจแล้ว” แจบอมตีมือที่จับแขนเขาไว้เบา ๆ “ชอบก็ชอบ เข้าใจ แต่นายต้องรู้สถานะตัวเองด้วยนะว่าตอนนี้นายเป็นใคร และการที่นายรู้สึกแบบนี้มันจะส่งผลยังไงกับใครบ้าง”

 

คำพูดนั้นทำเอาแจ็คสันนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจอีกรอบ

 

“…แล้วฉันควรทำไงวะ?”

 

แจบอมยิ้มบาง “ให้เลิกชอบคงทำไม่ได้ แต่ถ้านายจะเข้าไปหาเขาเลยก็ไม่ได้เหมือนกัน เรื่องอย่างนี้ไว้ให้เป็นเรื่องของโชคชะตาดีกว่า”
ประโยคที่ไม่ต่างกับการบอกปัดแบบขอไปที ทำเอาแจ็คสันอดฟาดผู้จัดการสักทีไม่ได้

 

 

 

 

 

 

แล้วแจ็คสันก็พบว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก หรือไม่อย่างนั้นพระเจ้าคงรักเขาเอามาก ๆ เพราะวันถัดมาที่เขามีนัดที่ร้านทำผม เขาก็พบร่างคุ้นเคยของคนที่อยากเจอที่สุดนั่งอยู่ตรงโซฟาสำหรับรอคิว

มาร์ค ต้วน ในชุดเสื้อยืดสีขาวตัวใหญ่อำพรางร่างบาง ๆ นั่งไขว่ห้างขณะที่มือข้างหนึ่งถือไอแพด และอีกข้างขยับแว่นกรอบสีดำบนสันจมูกให้เข้าที่ แล้วละมาเลื่อนหน้าจอเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ในมือ แจ็คสันเห็นหัวเข่าขาว ๆ ที่เผยชัดเจนเพราะเจ้าของมันสวมกางเกงยีนส์สกินนี่ที่จงใจให้ขาดตรงช่วงเข่า ไนกี้สีดำขยับเล็กน้อยตอนที่เจ้าของร่างนั้นขยับท่านั่งให้ถนัดยิ่งขึ้น

ขณะที่พิจารณาแฟนคลับตัวเองอยู่หน้าเคาท์เตอร์ — ไม่ยอมเข้าไปติดต่อว่าจะทำผมตามที่นัดไว้สักที อีกใจก็คิดอยู่ว่าถ้ามาร์คเห็นเขาจะทำยังไง เขาจะเซอร์ไพรส์หรือทำเป็นบังเอิญเจอดี แม้ความจริงแล้วจะบังเอิญจริง ๆ ก็เถอะ — พนักงานร้านก็เข้ามาถามเขาอย่างไม่แน่ใจ

“…เอ่อ คุณหวังใช่ไหมคะ? ที่นัดไว้…”

“อ่า ครับ” แจ็คสันหันไปรับคำก่อนจะพยักหน้าแกน ๆ แอบเหลือบสายตาไปมองคนที่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับไอแพดแล้วก็สงสัย หน้าจอนั่นมันน่าสนใจกว่าเขานักหรือไงฮะ? นี่แจ็คสัน หวัง นะ

แต่เหมือนพระเจ้าจะเข้าใจความรู้สึกของเขา เลยส่งพนักงานคนเดียวกันไปทักคนที่นั่งจิ้มไอแพดอยู่

“คุณต้วนคะ ถึงคิวแล้วค่ะ” หล่อนพูดเป็นภาษาอังกฤษ

มาร์คเงยหน้าขึ้นมามอง นัยน์ตาสีเข้มใสแป๋ว ก่อนจะพยักหน้ารับ รีบร้อนเก็บแท็บเล็ตของตนใส่กระเป๋าเป้สีขาวใบใหญ่ ก่อนจะลุกขึ้นจะเดินตามพนักงานในร้าน

ทันใดนั้นนัยน์ตาใส ๆ นั่นก็หันมาสบกับเขาพอดี

“…”

“…”

เงียบงันกันไปชั่วขณะ

มาร์คเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย เหมือนพยายามสงวนท่าทีไม่ให้กระโตกกระตากมากจนเกินไป ขณะที่เขาหลุดยิ้มโง่ ๆ ให้อย่างไม่รู้จะทำอะไร มาร์คเลยเปลี่ยนมาเป็นกะพริบตาปริบ ๆ แล้วหันไปมองพนักงานที่ยืนยิ้มแป้นอยู่

“เดี๋ยวคุณต้วนกับคุณหวังเข้าไปพร้อมกันเลยค่ะ เตียงสระผมด้านในนะคะ”

ว่าจบคุณพนักงานก็เชิญเขากับมาร์คเข้าไปนอนอยู่บนเตียงสระผม ซึ่งบังเอิญตั้งอยู่ข้างกัน แจ็คสันมองมาร์คที่ทำท่าเหมือนทำอะไรไม่ถูกค่อย ๆ ปีนขึ้นเตียงสระอย่างขำ ๆ

ใครจะไปคิดว่าจะมาเจอกันในสถานที่แบบนี้

“มาทำอะไรเหรอครับ มาร์ค”

แจ็คสันตัดสินใจเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อน ด้วยประโยคภาษาจีนสั้น ๆ ที่อีกฝ่ายย่อมต้องเข้าใจ ขณะที่ศีรษะสัมผัสความเย็นของน้ำและปลายนิ้วที่บรรจงนวดลงมาอย่างชวนให้หลับ

ขณะที่คนโดนถามเหมือนเพิ่งมีสติกลับมา เอ่ยตอบไปอย่างติด ๆ ขัด ๆ “…เอ่อ… มาตัดผมครับ”

“ตัดผม?”

แจ็คสันนึกถึงหน้าม้าของมาร์คที่เริ่มยาวลงมาใกล้ถึงตาแล้ว “หน้าม้าเหรอครับ?”

“…ก็ด้วยครับ”

เสียงอีกฝ่ายดังแผ่วมาจากเตียงข้าง ๆ ก่อนจะเงียบไปให้คนฟังคิดต่อเอาเอง

นอกจากเสียงน้ำและเสียงดนตรีเบา ๆ ที่ดังคลออยู่ในร้าน แจ็คสันก็ไม่ได้ยินอะไรอีก เขาเผลอหลับไปและรู้สึกตัวอีกทีตอนที่พนักงานสะกิดให้ลุกไปนั่งหน้ากระจก ชายหนุ่มเดินอึน ๆ เหมือนคนยังไม่ตื่นไปทรุดตัวลงนั่ง พอมองกระจกก็สะดุ้ง เมื่อพบว่าเก้าอี้ถัดจากเขาคือมาร์คที่หันมามองเขาขำ ๆ

“ทำงานเหนื่อยนะครับ”

แจ็คสันหลุดยิ้ม “คุณก็ตามผมเหนื่อยเหมือนกันนะครับ”

มาร์คชะงัก ก่อนจะหลบสายตาเขาไปมองกระจก พอดีกับที่ช่างทำผมเดินเข้ามาพอดี

“ทำสีนะครับ คุณแจ็คสัน”

“ครับ”

เขาตอบรับไป หยิบนิตยสารเล่มหนึ่งขึ้นมาพลิกดู แต่ก็ไม่วายแอบส่องคนข้าง ๆ ผ่านทางกระจกอยู่ตลอดเวลา

มาร์คไม่ได้มองมาทางเขา หรือจะให้พูดแบบที่ย่อมรู้กันดีคือพยายามหลีกเลี่ยงจะสบตากับเขาโดยตรง แต่แจ็คสันก็แอบเห็นว่าอีกคนมองเขาผ่านทางกระจกเช่นกัน เห็นแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้

น่ารักจังเลย

             นี่ให้มองหน้ามาร์คทั้งวันก็ดูจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้สำหรับเขา

             ผิวขาว ๆ ของมาร์คสะท้อนกับแสงไฟของร้าน ผมสีน้ำตาลถูกเล็มตัดเป็นทรงเข้ากับรูปหน้าเรียว ขณะที่แจ็คสันแทบลืมไปเลยว่าผมตัวเองกำลังกัดสีอยู่ เขาก็โพล่งขึ้นมาประโยคหนึ่ง

“ทำสีผมแบบผมไหม? มาร์ค”

“…ฮะ?”

มาร์ค ต้วน หันมามองอย่างงง ๆ ก่อนจะทำหน้าตกใจเหมือนสมองเพิ่งประมวลผลได้ “คุณหมายความว่ายังไง?”

ประโยคสนทนาภาษาจีนระหว่างพวกเขาสองคนไม่เรียกความสนใจจากช่างทำผมที่กำลังเริ่มละเลงสีผมให้แจ็คสันนัก ขณะที่ช่างอีกคนก็ยังคงบรรจงเล็มผมสั้น ๆ ของมาร์คต่อไป

“หมายความว่า ผมจะทำสีผมใหม่ คุณลองทำบ้างไหม?”

มาร์คกะพริบตาปริบ ๆ เห็นแพขนตาไหวไปมา “…ทำได้เหรอ?”

“อ้าว ใครห้ามคุณล่ะ”

“ไม่ ๆ ไม่ได้หมายความแบบนั้น” มาร์ครีบร้อนปฏิเสธ ทั้งที่ต้องพยายามเกร็งศีรษะไม่ให้ขยับเขยื้อนเพราะกลัวช่างตัดผิด “คือผมหมายความว่า ไม่แปลกเหรอ ที่เห็นคนอื่นทำสีผมตามคุณ? ถึงจะเป็นแฟนคลับก็เถอะ”

“ไม่นี่ ดีเสียอีก”

“ดียังไง?”

“อย่างนี้แสดงว่าผมมีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เขาเปลี่ยนแปลงตัวเองไง”

มาร์คมองหน้าเขาผ่านกระจกก่อนจะถอนหายใจ

“บางทีผมก็รู้สึกว่าคุณนี่ช่างมั่นใจในตัวเองเหลือเกิน”

“แล้วชอบไหมครับ?”

“…”

มาร์คไม่ตอบ แต่ส่งสัญญาณให้ช่างตัดผมละมือจากกรรไกร แล้วยื่นแถบสีผมให้ดู พร้อมกับชี้ ๆ สีผมที่ตัวเองจะทำ

“คุณมีอิทธิพลกับผมมากแค่ไหนก็ไม่รู้สิ…” มาร์คพึมพำหลังจากที่ช่างพยักหน้ารับรู้และเดินออกไปเตรียมสีผม “แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ผมยอมนั่งเครื่องเป็นชั่วโมงเพื่อมาดูคุณแสดงไม่กี่นาทีแล้วกัน”

แจ็คสันรู้สึกเลยว่าตัวเองยิ้มกว้างแก้มแทบฉีก

ก่อนจะยิ้มกว้างขึ้นไปอีกเมื่ออีกคนเสมองไปทางอื่นแล้วพึมพำเสียงเบา

“…ชอบไม่ชอบดูแค่นี้ก็น่าจะรู้แล้วล่ะครับ”

 

 

 

 

 

ผลสุดท้ายของวันนั้นคือแจ็คสัน หวัง ได้ผมสีบลอนด์ทองสว่างสดใสกลับไปบริษัท ขณะที่ของมาร์คกลายเป็นเฉดสีเทาเงินซึ่งดันเข้ากับดวงหน้าหวานอย่างประหลาด แจ็คสันต้องพยายามห้ามใจตัวเองอย่างมากไม่ให้มันเต้นรัวกระหน่ำบ้าคลั่งกับท่าทางน่ารัก ๆ ของมาร์คที่กำลังหน้ามุ่ยเพราะสีผมตัวเองผิดจากที่คาดไว้

“ผมนึกว่าคุณจะทำออกเทากว่านี้ ดันทองสว่างเชียว”

“แบบนี้ก็ดีนะ” แจ็คสันว่า “เป็นสีทองกับสีเงินไง คู่กัน ๆ”

มาร์คขมวดคิ้ว “แล้วแต่คุณเลย”

“เฮ่ คุณเป็นแฟนคลับผมไม่ใช่หรือไง สนใจกันมากกว่านี้หน่อยสิ”

ได้ปฏิกิริยาคว่ำปากกลับมาทันที

“บางทีผมก็สงสัยว่าตอนนี้ผมกับคุณเป็นแฟนคลับกับไอดอลหรือสถานะคนที่มีพ่อเป็นเพื่อนกันกันแน่ วางตัวลำบากนะ คุณแจ็คสัน”

แจ็คสันเพียงแค่ยักไหล่กับคำพูดนั้น และไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป

พวกเขาจ่ายเงินค่าทำผมและเตรียมจะออกจากร้าน แจ็คสันสังเกตเห็นว่ามาร์คกลับมามีทีท่าห่างเหินอีกแล้ว ทำให้เขานึกถึงวันที่โดนบล็อกคาทกขึ้นมาทันที

“มาร์ค”

คนโดนเรียกชื่อหันมามองพร้อมสายตามีคำถาม

“เมื่อไหร่จะอันบล็อกคาทกผมเหรอ?”

มาร์คชะงักไป ก่อนจะเสมองไปทางอื่น พลางเกาแก้มเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก

“…เอ่อ” เสียงเบาหวิวดังออกจากริมฝีปากอิ่ม “…ผมว่า ให้เป็นแบบนี้ต่อไปก็ดีแล้วนะ”

แจ็คสันขมวดคิ้ว

“หมายความว่ายังไง?”

มาร์คไม่ตอบอะไร เพียงแค่ส่ายศีรษะเล็กน้อยเหมือนไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ และมันทำให้แจ็คสันรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาทันที

“มาร์ค ทำไมคุณต้องพยายามตีตัวห่างจากผมตลอดเลย”

คราวนี้มาร์คหันมาหาเขาพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

“คุณไม่เข้าใจจริง ๆ เหรอ?”

แจ็คสันขมวดคิ้วมากกว่าเดิม เขาเห็นมาร์คถอนหายใจใส่

“คุณลองกลับไปถามผู้จัดการอิมดูก็ได้นะ”

“คุณคิดว่าผมไม่เคยถามเขาเหรอ เจบีบอกผมแล้ว เรื่องคุณกับเลขาฯ ของคุณด้วย”

มาร์คเบิกตากว้าง “อะไรนะ? คุณรู้แล้วเหรอ?”

พอเห็นแจ็คสันพยักหน้า ดวงหน้าขาวก็ดูจะเผือดสีลงไปเล็กน้อย และนั่นทำให้แจ็คสันพลอยวิตกไปด้วย

“…ทำไมคุณทำหน้าแบบนั้น?”

“เอ่อ เปล่าครับ” มาร์คส่ายหน้า “ไม่มีอะไร”

“คุณก็เอาแต่พูดว่าไม่มีอะไร ๆ ทำไมคุณไม่บอกผมมาตรง ๆ ว่าคุณเป็นอะไรกันแน่ จะเก็บไว้ทำไม”

จู่ ๆ แจ็คสันก็โพล่งขึ้นมา ทำเอามาร์คเหวอไป ความเงียบก่อตัวขึ้นมาชั่วขณะ ก่อนมาร์คจะขมวดคิ้วและพูดด้วยเสียงเรียบ ๆ

“ทำไมผมต้องบอกคุณ?”

เป็นแจ็คสันเองที่ตอบไม่ได้

มาร์คเองก็เงียบไม่ได้พูดอะไรต่อ ปล่อยให้อีกคนได้คิดอะไรหลาย ๆ อย่าง ก่อนไปก็ยังอุตส่าห์บอกเขาว่า ‘เจอกันที่ไทยนะครับ’ ก่อนจะจากไป

เป็นการจากกันที่แย่ที่สุดเลย

 

 

 

 

 

พอนึกย้อนมาถึงตอนนี้ก็รู้สึกว่าเรื่องที่เขาสอบปากคำอิมแจบอมจนสารภาพออกมาหมดไม่ตลกเสียแล้ว หลังจากนั้นแจ็คสันก็เห็นมาร์คอีกแค่สองสามครั้งในช่วงโปรโมทเพลง เพราะงานแฟนไซน์ครั้งนี้มาร์คไม่ได้มา แจ็คสันกระวนกระวายเป็นบ้าอยู่คนเดียวจนผู้จัดการอิมคนเก่งมาบอกเขา

“คุณต้วนติดเซ็นสัญญาที่ชิคาโก้ นายจะให้เขาทิ้งเงินเป็นสิบล้านร้อยล้านเพื่อมาหานายเหรอ เห็นแก่ตัวมากไปไหม แจ็คสัน”

พูดขนาดนี้ก็เอาไม้มาตีแสกหน้าเขาน่าจะดีกว่าไหม อิมแจบอม

แล้วก็เป็นช่วงเวลาที่วุ่นวายอยู่กับการเตรียมแฟนมีตติ้งที่ไทย พอดีกับมีโปรเจคต์ใหม่เป็นรายการสั้น ๆ ที่จะปล่อยหลังจากแฟนมีตฯ ประมาณสองอาทิตย์ ชื่อรายการว่า ‘หวังทีวี’

“เป็นรายการที่คล้าย ๆ เบื้องหลังงานต่าง ๆ ของนาย หรือไม่ก็เวลาเดินทางไปไหนงี้ ไว้ให้แฟนคลับได้ตามจะได้หายคิดถึง” ชเวยองแจ พีดีของรายการบรีฟเขามาสั้น ๆ “เดี๋ยวรายละเอียดจะบอกอีกที ส่วนเทปแรกจะถ่ายที่ไทย ก่อนแฟนมีตฯ จะเริ่ม”

“หมายความว่าผมต้องไปไทยก่อนกำหนดการจริง?” แจ็คสันถาม และพอได้รับคำยืนยันว่าเป็นตามนั้นก็อดตื่นเต้นไม่ได้

สุดท้ายเขาก็มานอนเล่นอยู่ในโรงแรมหรูใจกลางกรุงเทพมหานครก่อนวันแฟนมีตติ้ง กดเล่นโทรศัพท์ไปเรื่อย ๆ เพราะยังนอนไม่หลับ แม้หน้าต่างกระจกใสบานใหญ่จะเผยให้เห็นภาพมุมสูงของเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยแสงสียามค่ำคืน แต่แจ็คสันก็ให้ความสนใจโทรศัพท์ในมือมากกว่า กระทั่งมีเสียงเคาะประตูที่เขาไล่อิมแจบอมให้ไปเปิดนั่นแหละ

“พี่แจบอม พี่แจ็คสัน”

เสียงเรียกชื่อที่ทำให้เขาต้องลุกจากเตียงมาดูชัด ๆ ว่าใคร พอเห็นก็เลิกคิ้ว

“ว่าไง? ยูคยอม”

คิมยูคยอม เป็นช่างภาพที่ติดตามพวกเขามาด้วย รายการนี้ใช้ช่างภาพแค่คนเดียวซึ่งนับว่ามหัศจรรย์มาก และมหัศจรรย์ยิ่งกว่าตรงที่ยูคยอมยังเป็นแค่เด็กเพิ่งจบไฮสกูล แต่เพราะฝีมือการถ่ายภาพดีจริง ๆ และชเวยองแจแนะนำให้มาทำงาน พวกเขาเลยวางใจ

“พี่ยองแจบอกว่า พรุ่งนี้จะถ่ายช่วงเย็น ๆ นะครับ เพราะงั้นก่อนหน้าเวลาถ่ายก็ฟรีครับ พี่จะไปไหนกันก็ได้ ส่วนพี่ยองแจบอกว่าจะไปคุยงานที่อื่นครับ เจอกันสี่โมงเย็น”

แจ็คสันพยักหน้ารับรู้ “แล้ว… นายต้องมาบอกฉันด้วยตัวเองเลยเหรอ?”

ยูคยอมหัวเราะ “พี่รู้ทันอีกแล้ว คือผมแค่จะขอไปด้วยถ้าพี่จะไปไหน เพราะผมไม่มีเพื่อนเลยอะ ถ้าไปจะได้ถ่ายรูปให้ด้วย พวกแฟนไซต์พี่คงยังไม่รู้ใช่ไหมว่าพี่มาแล้ว”

แจ็คสันพูดขำ ๆ “ไม่รู้หรอก เออ ๆ ไปด้วยก็ดี ไปหลาย ๆ คนสนุกดี ส่วนจะไปไหนเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”

ยูคยอมออกจากห้องไปแล้ว ขณะที่อิมแจบอมที่เมื่อครู่หายไปไหนไม่รู้เดินกลับเข้ามาอีกรอบ

“จูเนียร์บอกว่า มีเพื่อนคนไทยอยู่ที่นี่ อยากให้แนะนำที่เที่ยวที่ไหนก็ถามได้”

แจ็คสันทำมือเป็นสัญลักษณ์ว่า ‘รับทราบ’ พอดีกับที่โทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง เลยบอกแค่ว่า “นายจัดการเลย” แล้วละความสนใจจากผู้จัดการกลับไปหาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในมือ

ยังไม่มีเบอร์มาร์คเหรอ? เบอร์นี้เลย แต่เป็นเบอร์ที่แอลเอนะ

             แจ็คสันยิ้มกว้าง เข้าทางพ่อมันดีแบบนี้เอง ก่อนจะกดเซฟเบอร์อีกคนไว้ในเครื่อง แล้วแจ้งเตือนจากทวิตเตอร์ก็ดังต่อมา เป็นข้อความจากคนที่เงียบไปนาน

คุณนี่มัน…

             8s

             ข้อความสั้น ๆ แต่ทำเอายิ้มแก้มแทบแตก แจ็คสันทิ้งตัวลงนอนกับเตียงนุ่มก่อนจะส่งข้อความสุดท้ายของวันไปให้

แล้วเจอกันนะครับ

มาร์ค

5s

#จาร์คแฟนบอย – 6 Bambam of Bangkok

บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย, Y, BL
หากไม่ชอบกรุณากดปิด

บทความนี้เป็นแฟนฟิกชั่นซึ่งเกิดจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล เหตุการณ์ หรือสถานที่ใด ๆ ทั้งสิ้น


THE SECRET LIFE OF MARK TUAN

GOT7 Fan Fictions

Jackson x Mark

6
Bambam of Bangkok

สำหรับวัยรุ่นคนอื่นที่วัยไล่เลี่ยกัน การใช้บริการขนส่งสาธารณะอาจจะไม่ได้เป็นปัญหามากนัก แต่สำหรับ แบมแบม ขอแค่มีคำว่า ‘สาธารณะ’ นั่นเท่ากับว่าเขากำลังเจอปัญหาใหญ่ ด้วยความที่เป็นคนที่อยู่ในขอบข่ายของคำว่า คนของประชาชน นั่นทำให้ไม่ว่าจะทำอะไร เด็กหนุ่มก็ต้องพยายามสืบเสาะหาลู่ทางที่เป็นส่วนตัวกว่าคนอื่นอยู่เสมอ

อย่างเช่นตอนนี้ แค่จะไปรับเพื่อนที่สนามบิน แทนที่จะนั่งแอร์พอร์ตเรลลิงก์ราคาค่อนข้างสบายกระเป๋าเพลิน ๆ กลับต้องใช้บริการแท็กซี่มิเตอร์ซึ่งบอกตรง ๆ ว่าโอกาสโดนโกงสูงมาก แต่ก็จำเป็น เพราะแบมแบมไม่อยากจะคิดเหมือนกันว่าถ้าตัวเองขึ้น ARL แล้วจะเจออะไรบ้าง

เด็กหนุ่มถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยของวันเมื่อเห็นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างทางผ่านหน้าไป รูปร่างหน้าตาของนายแบบโฆษณานั่นเขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี ทั้งสีผม รูปหน้า และลักษณะของดวงตาหรือริมฝีปาก พอมองแล้วก็แอบขมวดคิ้วนิดหนึ่งแล้วละสายตากลับไปมองทางอื่น อ่า… รู้สึกแปลก ๆ ทุกครั้งที่เห็นหน้าตัวเองอยู่บนบิลบอร์ด ยังไงก็ไม่ชิน

โชคดีที่ลุงคนขับรถไม่ทันสังเกตว่าเขาหน้าเหมือนนายแบบโฆษณาคนนั้น หรืออาจเป็นเพราะเขาใส่แว่นตาพรางรูปหน้าอยู่ เลยไม่โดนทักเรื่องนี้

แบมแบมกดโทรศัพท์มือถือมาเปิดดู ตอนนี้จะบ่ายสามโมงแล้ว แดดกรุงเทพฯ ร้อนระอุไปหมดโดยเฉพาะช่วงเดือนพฤษภาคม จำได้ว่าช่วงวันเกิดเขาเมื่อต้นเดือนอากาศร้อนจนแทบบ้า แต่ตอนนี้พอเริ่มปรับตัวได้ก็ยังรู้สึก… ร้อนอยู่ดี ขอบคุณผู้จัดการที่ไม่รับงานถ่ายแบบนอกสถานที่หรืออะไรที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง เขาค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าเดินออกไปยืนกลางแดดสักสิบนาทีคงมีสภาพไม่ต่างจากเนื้อย่างสด

มือเรียวกดเข้าแอปพลิเคชั่นทวิตเตอร์ด้วยความเคยชิน จำนวนผู้ติดตามของเขาเยอะขึ้นทุกวันและแบมแบมก็ไม่ได้สนใจมากนัก เร็ว ๆ นี้เขาคงได้ Verified แอคเคาท์ แต่ช่างปะไร ประเด็นสำคัญอยู่ที่ Direct Message ของเขาต่างหาก ข้อความสุดท้ายของเพื่อนที่บอกว่าจะมาขอพักที่บ้านเขาระยะหนึ่งส่งมาเมื่อหลายสิบชั่วโมงก่อนที่เจ้าตัวจะขึ้นเครื่องบินจากลอสแองเจลิสตรงมายังกรุงเทพมหานคร (เปลี่ยนเครื่องที่ไหนแบมแบมจำไม่ได้) คือคำพูดสั้น ๆ

แล้วเจอกัน

อืม… แล้วมันตอนไหนล่ะ

แบมแบมจำต้องคำนวณเวลาเอาเอง จริง ๆ พี่จูเนียร์ก็บอกเวลามาคร่าว ๆ แล้ว แต่เขาก็ยังมาล่วงหน้าเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายผิดหวัง ความประทับใจแรกของประเทศบ้านเกิดเขาจะสร้างเอง แม้ว่าตารางงานเมื่อวานจะทำเอาเขารู้สึกเหมือนไม่ได้นอนทั้งคืน แต่เด็กหนุ่มก็ยินดียิ่งที่จะมารับเพื่อนถึงสนามบิน

ไม่นานรถแท็กซี่ก็จอดเทียบบริเวณหน้าสนามบิน แบมแบมจ่ายค่าบริการให้คุณลุงที่ใจดีไม่โกงเขาและยิ้มกว้างให้ ก่อนจะรีบเดินเข้าไปในอาคารผู้โดยสารขาเข้าเมื่อพบว่าการแจ้งเตือนของทวิตเตอร์เพิ่งดังขึ้นมา พร้อมกับข้อความว่า ถึงแล้ว รออยู่ที่สตาร์บัคส์

แบมแบมใช้เวลาประมวลผลอยู่ครู่หนึ่งเพื่อนึกว่าสตาร์บัคส์อยู่ส่วนไหนของอาคารผู้โดยสารอันแสนจะกว้างใหญ่ของสนามบิน ก่อนจะรีบเร่งฝีเท้าเร็ว ๆ และไม่สนใจสายตาของคนรอบข้างที่มองมาทางเขาอย่างสงสัย (หรือบางคนอาจจะนึกออกแล้วว่าเขาเป็นใครแต่ไม่สะดวกใจที่จะทัก ซึ่งดีมาก ๆ) ไม่นานก็มาหยุดยืนหน้าร้านกาแฟชื่อดัง

เขากดพิมพ์ข้อความ

ขอจุดสังเกตหน่อยครับ ผมจะหาพี่มาร์คกับพี่จูเนียร์เจอได้ยังไง?

นาทีนี้ขอบคุณการทำงานหลายปีและชีวิตการเป็นแฟนคลับที่ทำให้เขาได้ใช้ภาษาอังกฤษ ไม่งั้นคงสื่อสารกันไม่รู้เรื่องแบบทุกวันนี้

อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว

ผมบลอนด์ ใส่เสื้อสีดำ กับคนใส่หมวกแก็ปสีน้ำเงิน

แบมแบมเงยหน้าจากมือถือ กวาดสายตามองครั้งเดียวก็เจอ ชายหนุ่มผมสีซีดที่นั่งหันหลังให้เขากับอีกคนซึ่งสวมหมวกแก๊ปสีน้ำเงิน กำลังนั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ

เขาเดินเข้าไปหา ก่อนเอ่ยทักอย่างเก้ ๆ กัง ๆ

“Ah… Mark and Junior…?”

สองคนนั้นหันมามองเขาทันที พอมองใกล้ ๆ แบมแบมรู้สึกตกใจมาก

ฉิบหาย…

เคยเห็นทวิตแวบ ๆ เหมือนกันว่ามาสเตอร์นิมบ้าน jswang94 หน้าตาดีมาก อย่างกับไอดอล แต่ไม่นึกว่าจะดีขนาดนี้

ทำเอาคนเป็นนายแบบหมดความมั่นใจไปเล็กน้อย

ชายหนุ่มผมบลอนด์ซีดเลิกคิ้วมองเขา ก่อนจะพึมพำ “Bambam?”

“Yes…”

และนั่นแหละ ครั้งแรกที่พวกเขาได้พบหน้ากัน หลังจากคุยกันผ่านหน้าทวิตเตอร์มาหลายเดือน

 

 

 

 

 

แม้มาร์คจะมีทีท่าว่าอยากลองใช้บริการสาธารณะหรือพูดง่าย ๆ คืออยากลองนั่ง ARL เข้าเมืองใจจะขาด แต่แบมแบมก็ได้แต่ขอโทษขอโพยแขกของตัวเองและอ้างว่าด้วยเหตุผลบางอย่างตอนนี้พวกเขาจึงควรจะนั่งแท็กซี่สักคันเข้าเมืองดีกว่า พอบอกเหตุผลที่ไม่ค่อยเป็นเหตุผลไปชายหนุ่มหน้าตาดี (ที่แบมแบมลงความเห็นในใจว่าติดไปทางสวย) ก็มุ่ยหน้าลงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรอีก โดยมีจูเนียร์คอยเกลี้ยกล่อมให้เข้าใจ

แบมแบมรู้จักกับมาร์คในทวิตเตอร์เมื่อราว ๆ กลางปีที่แล้ว ด้วยความบังเอิญล้วน ๆ ในตอนนั้นเขาเป็นแฟนคลับแจ็คสัน หวัง อยู่แล้ว (ถ้าพูดให้ถูกคือตามมาตั้งแต่สมัยก่อนเดบิวต์เสียอีก) และก็มีทวิตเตอร์ของคน ๆ หนึ่งมาติดตามเขา ก็คือมาร์คนั่นเอง ตอนแรกแบมแบมก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะฟอลโลเวอร์เขาเพิ่มขึ้นทุกวันอยู่แล้ว กระทั่งวันหนึ่งอีกฝ่ายส่ง DM มาหาเขา ถามเรื่องการสมัครบอร์ดแฟนคลับของแจ็คสัน และไป ๆ มา ๆ ก็สนิทกันเสียอย่างนั้น รู้สึกตัวอีกทีมาร์คที่เขารู้จักหน้าทวิตเตอร์ก็กลายเป็นมาสเตอร์นิมบ้านแฟนไซต์ที่ติดอันดับถ่ายรูปสวยเป็นอันดับต้น ๆ ของกลุ่มแฟนไซต์แจ็คสัน และที่สำคัญน้อยคนนักจะรู้จักหน้าค่าตาของมาร์ค เพราะเจ้าตัวไม่ค่อยเปิดเผยตัวเท่าไหร่ แต่ส่วนใหญ่ที่พูดกันคือ เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี น่าจะเป็นไอดอลได้ ตอนแรกแบมแบมก็คิดว่าคงหน้าตาดีแบบธรรมดา ๆ ไม่นึกว่าจะ ดีมาก ขนาดนี้

ส่วนจูเนียร์นั้น แบมแบมมารู้จักทีหลังเวลาเห็นมาร์คบ่น ๆ ในทวิตเตอร์ แล้วก็มีจะอีกแอคเคาต์หนึ่งชื่อว่า @jrjyp มากด favourite บ้าง หรือมารีทวีตบ้างเป็นประจำ ตอนหลังเห็นสองคนนี้คุยกันจึงเดาว่าเป็นเพื่อนที่น่าจะสนิทกันระดับหนึ่ง เพราะเวลามาร์คไปไหนจูเนียร์ตามตลอด และเหมือนจูเนียร์ก็จะเป็นอีกคนที่คอยเก็บภาพแจ็คสันในมุมอื่นที่มาร์คถ่ายไม่ได้

สรุปคือ มาสเตอร์นิมบ้าน jswang94 มีสองคน และทั้งสองคนก็นั่งอยู่เบาะหลังรถแท็กซี่ ขณะที่แบมแบมนั่งข้างคนขับ

แบมแบมมองผ่านกระจกหลัง เห็นจูเนียร์ที่ยังคงสวมหมวกแก๊ปสีน้ำเงินก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์มือถือเหมือนกำลังทำงาน ขณะที่อีกคนทอดสายตามองตามรายทางอย่างสนใจ บางทีก็หยิบมือถือมาถ่ายรูปเก็บไว้ จนเขาอดทักไม่ได้

“ดูพี่มาร์คสนใจเมืองไทยมาก อยากไปเที่ยวที่ไหนหรือเปล่าครับ?”

มาร์คละสายตาจากโทรศัพท์มามองหน้าเขา เหลือบไปมองจูเนียร์ที่ไม่ออกความเห็นอะไร ก่อนจะตอบ

“ฉันไม่รู้ว่ามีที่เที่ยวที่ไหนบ้าง”

“เราพอมีเวลาอยู่บ้างก่อนวันงาน” จูเนียร์พูดเป็นประโยคแรกตั้งแต่แบมแบมเจอ “ผมว่าเราลองหาข้อมูลแล้วไปเที่ยวก็ดี นาน ๆ จะได้มา”

“ผมเห็นด้วย” แบมแบมรีบเออออ “ให้ผมเป็นไกด์ให้ก็ได้!”

มาร์คเลิกคิ้วแปลกใจ “แบมแบมไม่เรียนหนังสือเหรอ?”

“ผมเปิดเรียนเดือนหน้า” เขาตอบเสียงสดใส “นี่ยังรู้สึกโชคดีอยู่เลยที่งานจัดช่วงปิดเรียนพอดี แต่คนคงเยอะน่าดู”

“แล้วเรื่องบัตร…”

เป็นจูเนียร์ที่เปรยขึ้นมา แบมแบมรีบพูดทันที

“ผมกดให้เป็นบัตรโซน VIP แถว D ของที่ไทยมีไฮทัชแค่ที่นั่งโซนนี้แหละ สองใบติดกันเลย” ว่าแล้วก็ขอบ่นสักนิด “แล้วรู้ปะว่าบัตรกดยากมากกกกก ผมนี่แทบบนบานทุกสิ่งบนโลกให้กดทัน เปิดแค่สิบนาทีก็เต็มทุกที่นั่งแล้ว”

มาร์คอดปรบมือให้เบา ๆ ไม่ได้ แต่นึกอะไรขึ้นมาได้เลยถามกลับ “ทำไมแค่สองใบ?”

“อ๋อ” แบมแบมเกาแก้ม รู้สึกว่าเริ่มจะอธิบายยาก “จะพูดไงดีล่ะ… เอ่อ ผมไม่ได้นั่งกับพวกพี่น่ะ พอดีมีเหตุให้ต้องไปอยู่ตรงอื่นในงาน”

“???”

ทั้งมาร์คและจูเนียร์ทำหน้าไม่เข้าใจ แต่มันอธิบายยากจริง ๆ แบมแบมหมดปัญญาจะแถลงเหลือเกิน

“เอาเป็นว่า วันงานเดี๋ยวพี่ก็รู้เอง”

คำพูดที่ทิ้งความสงสัยไว้เต็มหัวใจคนฟัง แต่แบมแบมก็เลือกจะเปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องอื่นแทน เขาเลยได้รู้จักทั้งสองคนมากขึ้นจากการนั่งคุยกันฆ่าเวลารถติด

ที่แท้พี่จูเนียร์กับพี่มาร์คไม่ได้เป็นเพื่อนกันสักหน่อย…

              เป็นเลขาฯ กับเจ้านายต่างหาก

เขาเลยได้ไขความลับว่าทำไมบ้าน jswang94 ถึงได้ไปตามแจ็คสันได้ตลอดเวลาขนาดนั้น เพราะอาชีพของพี่มาร์คค่อนข้างจะ… น่าตกตะลึงในระดับหนึ่ง อย่างน้อยฐานะก็ไม่ใช่ระดับปานกลาง แต่ค่อนไปทางร่ำรวย และที่สำคัญยังสามารถจัดสรรเวลาในการติ่งได้อย่างลงตัว

นี่มันชีวิตแฟนคลับในฝันชัด ๆ

ในขณะที่แบมแบม เงินมี ใจมี แต่ไม่มีเวลา คิดแล้วก็อยากจะร้องไห้ให้ก้องโลก

หลังจากคุยกันเมามันอยู่พักใหญ่ (จริง ๆ คือมีแบมแบมจ้อคนเดียว พูดอังกฤษถูกบ้างไม่ถูกบ้าง แต่สองคนนั้นเข้าใจก็โอเค และลุงโชเฟอร์ทำหน้างง ๆ ตลอดการเดินทาง) ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงที่พัก คอนโดสูงหลายสิบชั้นแห่งนี้แบมแบมจับจองไว้ห้องหนึ่งเพื่อใช้สำหรับพักผ่อนช่วงที่ตารางงานถ่ายแบบเยอะ ๆ จนขี้เกียจนั่งรถกลับบ้าน (ซึ่งอยู่ชานเมือง) ตรงนี้อยู่ไม่ห่างจากบีทีเอสอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิมากนัก สะดวกต่อการเดินทางไปสถานที่จัดงานแฟนมีตติ้งแจ็คสันในอีกสองวันข้างหน้าแน่นอน (ไม่ต้องถามว่าที่ไหน ก็คงรู้กันดี… มีสถานที่จัดงานไม่กี่ที่หรอกที่ต้องนั่งรถตู้ไปแทนที่จะใช้บริการขนส่งอื่น ๆ อย่างรถไฟฟ้าหรือรถไฟใต้ดินน่ะ)

คอนโดมิเนียมที่แบมแบมให้เพื่อนทั้งสองเข้าพักเป็นห้องกว้างที่มีห้องนอนสองห้อง ห้องหนึ่งเป็นของเขาและอีกห้องไว้รับแขก แบมแบมเสนอให้มาร์คนอนห้องตัวเองแล้วจูเนียร์นอนอีกห้อง ส่วนตัวเขาได้หมดอยู่แล้ว ที่ต้องพูดแบบนี้เพราะจูเนียร์เหมือนจะไม่ค่อยสะดวกใจกับการนอนร่วมเตียงกับคนอื่น ซึ่งเรื่องพวกนี้แบมแบมกับมาร์คไม่มีปัญหา ผลสุดท้ายเลยกลายเป็นว่า แบมแบมกับมาร์คนอนห้องแบมแบม ส่วนจูเนียร์นอนห้องรับแขก

หลังจากขนข้าวของที่แทบไม่มีอะไรเลยเข้าที่ ก็ใกล้เวลาอาหารเย็นพอดี แถวนี้มีของกินเยอะจนไม่รู้จะเยอะยังไง แต่แบมแบมก็ยังเป็นเจ้าบ้านผู้ใจกว้างที่ถามแขกก่อนเสมอว่าต้องการอะไรเป็นพิเศษไหม

“อะไรก็ได้ทั้งนั้น ฉันกินได้หมดเลย” มาร์คดูตื่นเต้นมากเมื่อพูดถึงเรื่องอาหาร พอพิจารณารูปร่างผอมบางแล้วดูขัดกันอย่างบอกไม่ถูก แต่แบมแบมก็ไม่ได้วิจารณ์อะไร เพียงแต่ยิ้ม ๆ และรับปากว่าจะพาไปหาอะไรอร่อย ๆ กินให้สมใจ

“จะว่าไป พวกพี่ไม่เจ็ตแล็กเหรอ?” แบมแบมถามอย่างสงสัย เวลาที่ไทยกับแอลเอห่างกันมาก แต่ทั้งสองดูเฉย ๆ

“ค่อนข้างชินน่ะ” จูเนียร์ตอบ “ช่วงที่ผ่านมาก็บินไป ๆ มา ๆ แอลเอ-โซลบ่อย เลยปรับตัวได้”

“อ๋อ” เจ้าของห้องพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ว่าแต่ เหมือนเห็นในรูปดิสทวิตพี่มาร์คไม่ใช่ผมสีนี้นี่ เพิ่งย้อมใหม่เหรอ?”

มาร์คละสายตาจากหน้าจอมือถือมามองคนถาม “หมายถึงผมสีบลอนด์นี่น่ะเหรอ?”

แบมแบมพยักหน้า และได้รับสีหน้าอธิบายยากของอีกคนกลับมา

“มัน… อ่า เอาเป็นว่า จริง ๆ ฉันก็ไม่ได้อยากย้อมนักหรอก แต่มันมีเหตุให้ต้องทำแบบนี้น่ะ”

นอกจากสีหน้างง ๆ แบมแบมก็ไม่มีอะไรให้อีกคนอีกแล้ว

 

 

 

 

 

พอตกเย็นอากาศเริ่มดีขึ้นมานิดหน่อย จากที่ร้อนนรกแตกเหมือนจำลองตัวเองเป็นทะเลทรายสะฮาร่า แบมแบมพาสองหนุ่มต่างชาติเดินเท้าออกมาจากคอนโดมิเนียม หาร้านแถวข้างทางกิน ตลอดทางที่เดินเขาทักทายคนที่เดินสวนไปมาอยู่ตลอดอย่างช่วยไม่ได้ มีเหตุผลหลัก ๆ อยู่สองข้อ หนึ่ง เขาฝากท้องไว้ที่นี่เป็นประจำเวลาเรียนเสร็จหรือเพิ่งทำงานเสร็จ เพราะมันใกล้คอนโดฯ ที่สุด และสอง …เพราะเขาคือแบมแบม

ร้านที่แบมแบมเลือกเป็นร้านอาหารตามสั่งเล็ก ๆ ที่ส่งกลิ่นหอมฉุยตั้งแต่ยังไม่ทันเดินเข้าร้าน คุณป้าเจ้าของร้านยิ้มรับแบมแบมตั้งแต่เห็นแค่ปลายเท้าเขาก้าวเข้ามา ก่อนจะอุทานเสียงดังเมื่อเห็นคนที่เดินตามเขามาต่อ

“โห หนูแบม พาใครมาเนี่ย หล่อเชียว”

“อ๋อ” แบมแบมรู้สึกดีแปลก ๆ ที่ตัวเองไม่ตกเป็นเป้าสายตาเท่าสองคนข้างหลัง “เพื่อนน่ะครับ มาจากต่างประเทศ”

“มา ๆ รีบนั่งเลย วันนี้อยากกินอะไรป้าลดให้ครึ่งราคาเลย ถือว่าพาอาหารตามา น่าจะเรียกลูกค้าได้เยอะ”

บทสนทนารวดเร็วระหว่างเจ้าของภาษาสองคนทำเอาหนุ่มต่างชาติได้แต่ยืนงง แบมแบมเลยรีบลากทั้งสองเข้าไปหาที่นั่งดี ๆ ในร้าน

“กินอะไรกันดีครับ?”

“เอ่อ… มีอะไรแนะนำบ้าง…” จูเนียร์ถามขณะปั้นหน้าอธิบายไม่ถูกใส่

แบมแบมหยิบรายการอาหารขึ้นมาดู และพบว่ามันมีแต่ภาษาไทย เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจ “เอาตามที่ผมสั่งแล้วกัน น่าจะถูกปากกันหมด จะพยายามสั่งให้กลางที่สุด”

อีกสองคนเออออไปตามเรื่อง แบมแบมเลยตัดสินใจสั่งอะไรกลาง ๆ มา อย่างพวกผัดพริก แกงจืด ระหว่างรออาหารก็พยายามหาเรื่องมาคุย ซึ่งไม่ยากเท่าไหร่เพราะมาร์ค ต้วน ดูจะอยากถามไปทุกอย่าง

มีคนที่อยากรู้อยากเห็นอะไรไปหมดแล้วยังน่ารักแบบนี้ด้วยเหรอ แบมแบมอยากยกมือขึ้นกุมอกแล้วถามตัวเอง นี่ถ้าพี่มาร์คเดบิวต์เป็นศิลปินเขาก็คงตามติ่งแน่ ๆ

แต่พอดีเป็นแฟนคลับเหมือนกัน

หลังจากตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของหนุ่มนักธุรกิจในคราบนักท่องเที่ยวที่สวมแค่เสื้อยืดสีขาวตัวใหญ่ (ที่ราคามองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ธรรมดา ในฐานะคนคลุกคลีกับเสื้อผ้ามาเยอะแบบแบมแบม) และกางเกงขาสั้นสามส่วน (ที่น่าจะแพงพอกัน) ไม่นานอาหารก็เสิร์ฟลงบนโต๊ะ พวกเขาใช้เวลาจัดการกับมันไม่นานนัก โชคดีที่ค่อนข้างถูกปากทั้งสอง แบมแบมยิ้มแก้มแทบแตกเมื่อมาร์คกับจูเนียร์เอ่ยชมไม่หยุด และยิ้มกว้างมากขึ้นอีกเมื่อคุณป้าลดราคาให้ตามที่พูดจริง ๆ มื้อนี้เขาที่อาสาเป็นเจ้ามือเลยสบายกระเป๋าพอสมควร

พอเสร็จมื้อเย็นก็หาของหวานตบท้ายกันนิดหน่อย ผลไปตกอยู่ที่ร้านไอติมกะทิแถว ๆ นั้น และสุดท้ายก็ถือไอติมคนละถ้วยเดินขึ้นคอนโดมิเนียมกันสบายใจ มาร์คดูจะติดใจรสหวาน ๆ ของไอติมกะทิเนื้อเนียน ทำท่าเหมือนว่าแค่ถ้วยในมือจะไม่พอทดแทนความอยากได้หมด

ซึ่งข้อนี้แบมแบมช่วยไม่ได้จริง ๆ

กินเยอะ ๆ มันไม่ดีนะครับ คุณมาร์ค

พอลิฟต์จอดที่ชั้นห้องพัก และจะไขกุญแจเข้าห้อง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ทุกคนมองหาต้นเสียงและพบว่า มาจากจูเนียร์

ชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตากลมใสผงกศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงขออนุญาต ก่อนจะหยิบมือถือมาดู พอเห็นหน้าจอแล้วก็ขยับยิ้มนิดหน่อยแล้วกดรับสาย

หลังจากนั้นก็พูดเป็นภาษาเกาหลีรัว ๆ

แบมแบมกับมาร์คมองหน้ากัน ก่อนที่จะยักไหล่แล้วเดินเข้าห้อง ปล่อยคุณจูเนียร์ไว้กับโทรศัพท์ของเขา

สิบนาทีต่อมา จูเนียร์เข้าห้องไปแล้ว เพื่อการคุยโทรศัพท์โดยเฉพาะ ส่วนแบมแบมเปิดทีวีทิ้งไว้ และมาร์คกำลังเดินไปรอบ ๆ ห้องเขาเหมือนกำลังสำรวจ

“…พี่หาอะไรอะ”

“หาอะไรสนุก ๆ”

“…หมายถึงอะไรกัน”

แม้ตอนแรกที่เจอหน้ากันจะติด ๆ ขัด ๆ ไปบ้าง เพราะเพิ่งเคยคุยกันตรง ๆ ครั้งแรก แต่หลังจากอยู่ด้วยกันมาหลายชั่วโมงพวกเขาก็เริ่มหาเรื่องมาคุยกันได้เรื่อย ๆ แบมแบมพบว่ามาร์ค ต้วน เป็นคนคุยเล่นไม่ค่อยเก่ง แต่ไม่ใช่ว่าไม่พูดเลย ส่วนจูเนียร์ (ที่เขาได้คุยในทวิตเตอร์นาน ๆ ครั้ง) เป็นคนที่พูดเก่งกว่า แต่ก็ไม่ได้พูดเพ้อเจ้อเหมือนเขา

แบมแบมมองคนตัวขาว (กว่าเขามาก) ที่เดินเข้าออกห้องนั้นห้องนี้เป็นว่าเล่นแล้วถอนหายใจ

“…ดูหนังสือไหม พี่มาร์ค”

“หนังสืออะไร?”

“นิตยสารทั่วไป”

“ฉันอ่านไม่ออก”

“ภาษาอังกฤษ”

“งั้นเอามา”

แล้วมาร์คก็ทิ้งตัวลงนั่งกับโซฟา แบมแบมเดินไปที่กองหนังสือภาษาต่างประเทศ หยิบสุ่ม ๆ มาสักสองสามเล่มยื่นให้คนที่เริ่มบิดขี้เกียจ

“โห มีนิตยสารแบบนี้ในไทยด้วยเหรอ” มาร์คดูสนใจ แบมแบมเลยปล่อยให้อีกคนดูอะไรไปเรื่อย ส่วนตัวเองอยากอาบน้ำนอนเต็มแก่ ถ้าไม่ติดว่าได้ยินเสียงประหลาด ๆ จากหนุ่มอเมริกัน “เอ๊ะ?”

“…เป็นอะไรอะ พี่มาร์ค”

“แบมแบม”

“…?”

“…นี่นายเป็นนายแบบเหรอ?”

“…”

 

 

 

 

 

“ก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังหรอกนะ แต่พี่ไม่เคยสังเกตทวิตเตอร์ผมจริง ๆ เหรอว่าคนฟอลเท่าไหร่…” แบมแบมว่าขณะที่พวกเขาสามคนนั่งล้อมวงกันอยู่หน้าทีวี เพราะนิตยสารเล่มหนึ่งที่แบมแบมยื่นมั่ว ๆ ให้มาร์คอ่านเล่นดันมีรูปเขาขึ้นปก เลยกลายเป็นประเด็นใหม่ให้สนทนา

จูเนียร์เลิกคุยโทรศัพท์มานั่งกอดตุ๊กตาตัวหนึ่งของเขาเล่น ขณะจ้องมองเจ้าของห้องที่พื้นหลังพิงโซฟาอยู่ และเหนือขึ้นไปคือมาร์คที่นอนอยู่บนโซฟา หันหน้าเข้าวงสนทนา

สบายสุด ๆ เหมือนพวกเขาเป็นเพื่อนกันมาสิบปีก็ไม่ปาน

“ก็นึกว่าคนฟอลเยอะเพราะนายเป็นแฟนคลับแจ็คสันนี่นา” มาร์คมุ่ยหน้า “ใครจะไปนึกว่าเพราะนายเป็นนายแบบ”

“โหย พี่ คอมมอนเซนส์อะ”

“อย่างนี้คนก็รู้จักแบมแบมกันทั้งประเทศเลยดิ” จูเนียร์ทักขึ้นมา แบมแบมสูดจมูกแรง ๆ

“ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก ผมรับงานถ่ายแบบเสื้อผ้า นิตยสาร มากกว่าโฆษณา ถ้าไม่อ่านแมกฯ บางเล่มก็ไม่เห็นผมหรอก”

อาชีพของแบมแบมในประเทศไทยคือ นายแบบวัยรุ่น

พวกเสื้อผ้าแบรนด์ยอดนิยมในหมู่เด็กวัยรุ่น หรือนิตยสารที่เจาะกลุ่มทีนเอจ แบมแบมล้วนเคยไปขึ้นปกมาแล้วทั้งนั้น ส่วนที่เข้าวงการนี้มาได้ก็ด้วยความบังเอิญล้วน ๆ บังเอิญวันนั้นไปส่งเพื่อนที่สตูดิโอแล้วเขาขาดคนพอดีเลยโดนลากไป ไป ๆ มา ๆ ก็กลายไปเป็นนายแบบกับเขาด้วย แต่งานสนุกดีเลยทำมาสักพักแล้ว แค่ไม่คิดว่าจะดังขนาดนี้เฉย ๆ

แต่แบมแบมก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีชื่อเสียงอะไร

อ้อ ถ้าไม่นับเวลาขึ้นรถไฟแถวสยามแล้วโดนเด็กมองทั้งขบวนรถ

หลัง ๆ นี่เขาเริ่มมีงานอื่นบ้าง พวกพิธีกรตามอีเวนต์ต่าง ๆ หรือดีเจ เพราะพบว่าทักษะตัวเองด้านนี้ไม่เลว ทำไปทำมาก็เหมือนเดิม สนุกดี ได้เจอคนหลากหลาย ก็คงเอาดีด้านนี้ต่อไปเรื่อย ๆ

“หืม… น่าเชิญไปถ่ายแบบให้บริษัทเราชะมัด” มาร์คพึมพำ ขณะหยิบไอแพดของเจ้าตัวขึ้นมาสไลด์ดูอะไรไปเรื่อย “นี่ว่าจะเปิดแบรนด์เสื้อผ้าใหม่เร็ว ๆ นี้ สนใจไหม?”

“ถ้าไปถ่ายถึงแอลเอคงไม่ใช่ช่วงนี้อะพี่ ใกล้สอบเข้าม.แล้ว” แบมแบมเกาแก้ม “แต่ถ้าเงินดีจะพิจารณา”

แล้วทุกคนก็หัวเราะลั่นห้อง

คุยเล่นกันอยู่สักพัก จู่ ๆ มาร์คก็ขอตัวเดินเข้าไปในห้อง ปล่อยให้แบมแบมกับจูเนียร์คุยอะไรกันไปเรื่อย แบมแบมเลยถือโอกาสแซวอีกคนเรื่องมือถือสักหน่อย เพราะเขารู้แล้วว่าจูเนียร์มีแฟนชื่อเจบี แต่เป็นใครนี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะสุดท้ายแล้วมาร์คก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้เขาฟัง แล้วหัวข้อสนทนาก็วนมาเรื่องคนที่หายเข้าห้องไป

“พี่จูเนียร์ดูเกร็ง ๆ พี่มาร์คนะ”

“แน่สิ ยังไงก็เจ้านาย”

“แต่พี่มาร์คใจดีเนอะ”

“อืม แต่เวลาทำงานก็เข้มงวดนะ”

“นึกภาพไม่ออกเลย”

“ก็ไม่ได้ยิ้มกว้างเห็นเขี้ยวแบบนี้อะ บางทีก็นิ่ง ๆ จริงจัง แต่เก่งมาก ๆ เลย”

แบมแบมพยักหน้ารับคำพูดของจูเนียร์ มาร์คก็ดูเป็นคนแบบนั้นจริง ๆ และ ดูน่าไว้วางใจ

ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ จู่ ๆ มาร์คก็กลับเข้ามาในห้อง พร้อมกับสีหน้าเครียด ๆ

“จูเนียร์”

“…ครับ?”

“ไม่เห็นบอกฉันว่าตอนนี้แจ็คสันอยู่ไทยแล้ว”

“อะไรนะ?/อ๋อ…”

แบมแบมหันขวับ ขณะที่จูเนียร์กลอกตาอย่างพยายามอธิบาย “ก็ทางนั้นเขาไม่ให้บอกนี่ครับ… เขาบอกมาเงียบ ๆ เซอร์ไพรส์แฟน ๆ ก่อนวันงาน”

“…แล้วพี่รู้กันได้ยังไง”

“แจ็คสันบอกน่ะสิ ตกใจหมดเลย”

“…ฮะ?”

แบมแบมคิดว่าตัวเองคงฟังผิด ไม่งั้นก็พี่มาร์คพูดผิด

“เอาใหม่ พี่มาร์ค แจ็คสัน หวัง อยู่ไทยเหรอ?”

“ใช่” มาร์คตอบ ขณะยกมือขยี้หัวตัวเองแรง ๆ จนผมยุ่ง

“แล้วพี่รู้ได้ยังไง?”

“ก็เขาบอก”

“…แล้วพี่ไปคุยกับแจ็คสันได้ยังไง?”

“…”

เกิดความเงียบขึ้นมาชั่วขณะ ทั้งห้องมองหน้ากัน แบมแบมเห็นสีหน้าตกใจบนดวงหน้าของมาร์คและจูเนียร์อย่างชัดเจน

รู้สึกเหมือนกำลังจะรู้อะไรที่ไม่ควรรู้เข้าแล้วสิ…

“คือว่า…”

เสียงคาทกดังขึ้นอีกครั้ง มาร์คจิ๊ปากอย่างขัดใจ ก่อนจะยกไอแพดมาอ่านข้อความเร็ว ๆ แล้วเบิกตาโต ๆ กว้าง

“ตลกแล้ว ๆ” ชายหนุ่มพึมพำ เดินรอบห้อง ขณะที่แบมแบมกับจูเนียร์มองตาม “โอ๊ย มาแบบนี้อีกแล้ว ให้ตายเถอะ”

“…ทำไมอีกเหรอครับ คุณมาร์ค”

มาร์คไม่พูดอะไร แต่ยื่นไอแพดให้ทั้งสองคนดูแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟาอีกรอบ ยกมือราวกับจะประกาศยอมแพ้โดยสิ้นเชิง

Papa

คุณหวังฝากลูกดูแลแจ็คสันหน่อยนะ เห็นว่าไปเมืองไทยเหมือนกัน ไหน ๆ ก็ไปติดต่องาน พากันไปเที่ยวด้วยล่ะ มีเพื่อนอยู่นั่นใช่ไหม? ถ่ายรูปส่งมาให้ป๊าดูหน่อยนะ ถ้าไม่ถ่ายมาคราวหน้าป๊าไม่ให้ไปแล้วนะ จะให้จูเนียร์ไปคนเดียว

อ้อ แจ็คสันขอเบอร์มาร์คมาทางป๊า ทำไมไม่ให้ไปล่ะ? รู้จักกันตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ? หรือเพราะเพิ่งเปลี่ยนเบอร์คราวก่อน? แต่ป๊าให้ไปแล้วนะ คุยกันด้วยล่ะ อย่าลืม

#จาร์คคนแมน – SPECIAL: GAIN WEIGHT

บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย, Y, BL
หากไม่ชอบกรุณากดปิด

บทความนี้เป็นแฟนฟิกชั่นซึ่งเกิดจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล เหตุการณ์ หรือสถานที่ใด ๆ ทั้งสิ้น


BE MINE

GOT7 Fan Fictions

Jackson x Mark

Special Chapter
– Gain Weight –

 

 

 

ปัญหาของแฟนหนุ่มโดยทั่วไปมักเป็นเรื่องพฤติกรรมการกินของแฟนสาว ผู้หญิงส่วนใหญ่ใส่ใจการกิน ทั้งกินมากและกินน้อย มีความย้อนแย้งหลายประการในการจะหาร้านอาหารดี ๆ สำหรับการออกเดต บ้างก็ต้องเจอกับคำตอบสุดฮิต “เราควบคุมอาหารอยู่” แต่พามากินขนมแคลอรี่สูง หรือไม่ก็ “เราอยากกินบุฟเฟ่ต์ แต่กินคนเดียวไม่หมด ตัวเองกินเป็นเพื่อนหน่อยนะ” เป็นต้น ซึ่งปัญหาเหล่านี้ สำหรับคนเรียนวิทยาศาสตร์การกีฬาอย่างแจ็คสันนั้น เขายินดีช่วยออกความเห็นอย่างยิ่ง การคำนวณแคลอรี่สำหรับเขาไม่ใช่เรื่องยาก อยากจะรักษาหุ่นก็ปรึกษาเขาได้ ยิ่งถ้าเป็นแฟนกันเขายิ่งขันอาสาเลยล่ะ ใครบ้างจะไม่อยากมีแฟนหุ่นดี สุขภาพดี เพราะยังไงแจ็คสันก็เป็นสายเฮลตี้อยู่แล้ว

แต่เหมือนแฟนของเขาจะไม่คิดแบบนั้น

“…”

แจ็คสันกลืนคำพูดที่อยากจะพูดลงไปเมื่อเห็นถาดหมูสามชั้นถาดใหม่ลงเสิร์ฟบนโต๊ะพร้อมสีหน้าดีอกดีใจเหมือนเด็กได้ของเล่นของ มาร์ค ต้วน เขาคงจะไม่อับจนคำพูดขนาดนี้ ถ้านี่ไม่ใช่ชุดใหญ่พิเศษ ชุดที่สี่แล้ว

พอมาแบบนี้แจ็คสันก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำหน้าที่เดิม คือคีบหมูย่างให้ แล้วก็มองคนที่นั่งรอหมูสุกด้วยสายตาเป็นประกายเหมือนอดอยากมาหลายวัน ขณะที่ตัวเขาเองอิ่มไปตั้งแต่ชุดที่สองแล้ว ไม่เข้าใจเลยว่ามาร์คกินแล้วเอาไปไว้ตรงไหนหมด

“…ยังไม่อิ่มเหรอ?”

เขาถามอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวมาร์คจะโวยวายกลับมา แต่อีกเจ้าของแก้มนิ่ม ๆ ที่เหมือนจะย้วยขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยกลับกะพริบตาปริบ ๆ ใส่

“หมดชุดนี้ก็อิ่มแล้วแหละ แต่เดี๋ยวกินขนมต่อ”

เชี่ย

นี่เขาปล่อยแฟนอดอยากจนต้องกินแหลกลานขนาดนี้เลยเหรอ

แจ็คสันใจคอไม่ดี อาทิตย์ที่ผ่านมาเขาติดโปรเจกต์ใหญ่ ไม่มีเวลาไปกินข้าวกับมาร์คเหมือนปกติ เลยสัญญาจะมาทบต้นทบดอกทีเดียวตอนสุดสัปดาห์ที่ร้านบาร์บีคิวชื่อดัง ที่เพิ่งเปลี่ยนกระทะใหม่ จริงอยู่ว่าร้านนี้มีอาหารแบบไม่อั้น และคิดเป็นรายหัว แต่กินขนาดนี้น่ากลัวว่าจะโดนแบล็กลิสต์เหลือเกิน

“มาร์ค” เขาเรียกเสียงอ่อน ขัดจังหวะคนที่กำลังจะคีบหมู่เข้าปากอีกชิ้น ตากลม ๆ เหลือบมองเขาอย่างสงสัย

“ว่า?”

“…กินขนาดนี้เอาไปเก็บไว้ตรงไหนหมดน่ะ?”

ถ้าเป็นผู้หญิง คำถามนี้คงน่ากลัวจะโดนตบกลับมา แต่พอดีมาร์คเป็นผู้ชาย พอได้ยินคำถามนี้ แทนที่จะทำหน้าบึ้งใส่เขา กับยู่หน้าทำหน้าน่ารักแล้วตอบเสียงใส

“กำลังเพิ่มน้ำหนักอะ”

“ฮะ?”

แจ็คสันเหวอ “เพิ่มทำไม?”

มาร์คตัดสินใจคีบหมูใส่ปาก เคี้ยวจนแก้มตุ่ยแล้วกลืน ก่อนอธิบาย

“ก็ไอ้มิโนกับบ๊อบบี้มันบอกว่ากู… เรา” อีกคนเปลี่ยนสรรพนามกลางคัน “ผอมเป็นไม้เสียบผี แล้วดูหุ่นมันสองคนสิ ห่า ยืนเรียงกันสามคนแล้วกูไปยืนตรงกลางก็เป็นหลุมละเหอะ” สุดท้ายก็ใช้คำเดิมที่ชินปาก แต่แจ็คสันไม่ได้มีกะใจจะมาติงตรงนั้น

“แล้วเพิ่มน้ำหนักมันจะช่วยอะไร?” เป็นหลุมมันเกี่ยวกับความสูงไม่ใช่เหรอ?

“ก็อย่างน้อยมีกล้ามแขนแบบพวกมันก็ยังดีไง” มาร์คพูดหน้าตาเฉย แล้วยกแก้วโคล่าขึ้นจิบ ส่วนแจ็คสันเหมือนสติหลุดไปแล้ว

“………อะไรนะ?”

มาร์คมุ่นคิ้ว “ให้กูพูดซ้ำอีกเหรอ? ก็เพิ่มน้ำหนักอยู่ไง อยากได้กล้ามแขนสวย ๆ บ้าง นี่ก็กินเวย์อยู่ตลอด แต่แม่งไม่ค่อยช่วยอะไรเลย อาทิตย์นี้ก็เพิ่มมาไม่ถึงโลฯ”

พระเจ้า แจ็คสันจะเป็นลม

“เห้ย คือ มันไม่จำเป็นปะวะ” แจ็คสันรู้สึกว่าต้องรีบตัดไฟตั้งแต่ต้นลม “ตอนนี้มาร์คก็โอเคแล้วนะ จะไปสนใจอะไรมันสองคนบ่นวะ เราว่าแบบนี้ก็ดีจะตาย น่ารักออก”

“กูน่ารักในสายตามึงคนเดียวก็พอแล้ว กับคนอื่นอยากให้มองว่าหล่อ รู้ไว้ซะด้วย”

แม่งไม่รู้จะเขินหรือยังไงดีกับประโยคเมื่อกี้ แต่แจ็คสันอยากเอาหน้าจุ่มเตาปิ้งย่างเหลือเกิน

“แล้วทำไมไม่ปรึกษาเรา” เขาค่อย ๆ ตั้งสติพูด “เราเรียนทางนี้โดยเฉพาะนะ มาร์คลืมหรือไง?”

“เปล่า” มาร์คตอบ “แต่เพราะรู้ว่าถ้าพูดมึงก็ต้องห้าม ถูกไหม?”

เออ ก็จริง

แต่เดี๋ยวนะ

“แปลว่านี่วางแผนมาตั้งนานแล้วเรอะ!?”

“สองเดือนได้” มาร์คยักไหล่ “ที่ช่วงนี้แก้มยุ้ย ๆ ก็เพราะงี้แหละ แต่ไม่ได้อยากให้มันออกแก้มอะ ไหน ๆ ก็รู้แล้ว ทำไงดี บอกหน่อย”

ถึงจะอ้อนอะไรตอนนี้ แจ็คสันก็รู้สึกอยากออกไปวิ่งรอบห้างแล้วตะโกนโวยวายให้สุดเสียง

โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยย กูต้องโทร.ไปด่าไอ้สองคนนั้นเดี๋ยวนี้

 

 

 

 

 

“จะว่าเป็นความผิดของพวกกูฝ่ายเดียวก็ไม่ได้นะ” เสียงมิโนดังมาตามสาย “มาร์คแม่งก็เป็นคนงี้ มึงก็รู้ว่ามันห่วงภาพลักษณ์ตัวเองขนาดไหน พอเป็นแฟนมึงคนทั้งม.ก็คิดว่ามันไม่หล่อแล้ว เป็นน้องเอินคนน่ารักแห่งคณะวิศวะแทน น่าสงสารเดือนมหาวิทยาลัยจริง ๆ”

สรุปความผิดกูเรอะ แจ็คสันคิด “กูต้องห้ามมาร์ค”

“เออ มึงก็พยายามเข้านะ”

“ว้อย ช่วยกูคิดสิ!” แจ็คสันรีบพูดก่อนอีกฝ่ายจะวางสาย “ตอนอยู่คณะมาร์คอยู่กับพวกมึง ช่วยกูด้วย อย่าให้ซี้ซั้วเพิ่มน้ำหนัก”

“แต่มันพยายามเพิ่มมาสองเดือนแล้ว น้ำหนักขึ้นไม่ถึงสามโลเลยนะ กูงงมาก” น้ำเสียงมิโนบ่งบอกความงงได้ชัดเจน “มันเบิร์นยังไงของมันวะ”

เรื่องนั้นแจ็คสันไม่อยากอธิบาย จริง ๆ เขาก็พอเข้าใจอยู่ว่าทำไมน้ำหนักมาร์คมันไม่ขึ้นอย่างที่ควรจะเป็นสักที ไอ้เวย์โปรตีนที่ซื้อมานี่ก็เหมือนมาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอกเฉย ๆ ไม่ได้ช่วยเรื่องกล้ามอะไรเลย

แต่พอปลายสายพูดมาแบบนี้เขาเลยนึกอะไรดี ๆ ออก

“…อ่า กูพอนึกอะไรดี ๆ ออกแล้ว แค่นี้นะ” แล้วก็ตัดสายทิ้ง ไม่ได้สนใจว่าปลายสายจะงงแค่ไหน

 

 

 

 

 

“วันนี้กินอะไร?” แจ็คสันรีบถามทันทีที่มาร์คก้าวออกมาจากแล็บ วันนี้มาร์คเลิกช้ากว่าเขาเพราะมีทำแล็บฟิสิกส์อะไรสักอย่าง ช่างมันเหอะ เอาเป็นว่าเขาก็มารอรับเหมือนปกติ

มาร์คในเสื้อช็อปสีน้ำเงินกรมยังคงน่ารักน่าหยิกเหมือนเดิมเพราผมหน้าม้าที่ยาวเหนือตากลม ๆ นั่นไปนิดเดียว แก้มก็ยุ้ยเป็นลูก ปากก็ยังแดงนุ่มนิ่มเหมือนเยลลี่ ไม่แปลกที่คนบอกว่าเป็นน้องเอินคนน่ารักแห่งคณะวิศวะไปแล้ว

แต่เนื้อแท้ก็ยังเป็นมาร์ค ต้วน อยู่ดีนั่นแหละ

“ทำไมรีบถามจังวะ?” มาร์คทำหน้างง ขณะเก็บของใส่กระเป๋าสะพาย “กูหิวก็จริง แต่ยังไม่ได้คิดเลย มึงอยากกินอะไรอะ?”

“ไปวนรอบม.ก่อนดีไหม? เราก็คิดไม่ออกว่าจะกินอะไร”

“เอาดิ” มาร์คเห็นด้วย พอดีกับที่มิโนกับบ๊อบบี้เดินออกมาพอดี พอเห็นเขาก็ผิวปาก

แซ็วมาตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสาม ไอ้ห่าพวกนี้แม่ง

“ไปไหนกันจ๊ะ น้องเอินกับพี่แจ็คสัน” บ๊อบบี้ล้อ และโดนมาร์คลงโทษด้วยการดีดหน้าผากแรง ๆ ไปหนึ่งที

“ไปกวนตีนกูไกล ๆ ไม่สร้างสรรค์แล้วยังเสือกอีกนะ”

“ล้อนิดล้อหน่อยก็ไม่ได้นะมึง” บ๊อบบี้เลยแกล้งล็อกคอแรง ๆ จนมาร์คหน้าหงายจะล้ม ผลสุดท้ายก็โดนเอาคืน โดยมีแจ็คสันยืนมองยิ้ม ๆ

“แล้วมึงก็ไม่ช่วยกูเลยเหรอครับบบ คุณแฟนนนนนน” คนตัวเล็กกว่าชาวบ้านโวยวาย แจ็คสันหัวเราะก๊าก

“เออ ๆ ปล่อยเหอะ บ๊อบบี้ สงสาร ตัวนิดเดียว”

สุดท้ายมาร์คก็เดินกลับมาทำหน้าบึ้งใส่ แจ็คสันรู้สึกว่าต้องได้ง้อคนอีกแล้ว แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร มาร์คก็ทำงอนไปงั้นแหละ แกล้งเพื่อน

“พวกกูไปละ มึงดูแลมาร์คด้วยล่ะ”

แล้วสองคนนั้นก็เดินจากไป มาร์คหันขวับมามอง ทำปากยื่น ๆ บ่น

“ไม่เคยช่วยกูเลยนะ”

“ก็เห็นกำลังสนุก”

“เออออออออ สนุกมากกกกกก” ลากเสียงยาว “แบกกูไปที่รถเลย ไม่อยากเดินแล้ว”

แจ็คสันหลุดขำพรืด แต่ก็ยอมหยิบกระเป๋าสะพายอีกคนมาถือไว้แทน แล้วย่อตัวนิดนึงให้มาร์คกระโดดมาขี่หลังเขาได้ มาร์คตัวเบามาก แบบที่ถ้าแจ็คสันต้องแบกวิ่งรอบม.ก็คงไม่รู้สึกอะไร

แต่จะให้มาร์ครู้ว่าตัวเองน้ำหนักเท่าเดิมไม่ได้

“…อ้วนขึ้นปะวะ” เขาพึมพำพอให้มาร์คได้ยิน ซึ่งคนที่มือคล้องคอเขาอยู่ก็รีบก้มมาถามข้างหู

“จริงปะ?”

ท่าทางตื่นเต้นจนแจ็คสันอย่างถอนหายใจแรง ๆ แล้วบอกว่าคิดไปเอง แต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับ

“เออ หนักจริงแฮะ รู้สึกล้าแขนกว่าปกติ”

ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักอยู่ข้างหลังแล้วแจ็คสันก็ได้แต่ส่ายหน้าขำ ๆ แจ็คสันให้มาร์คขี่คอมาถึงรถที่จอดไว้โดยไม่ได้สนสายตาคนรอบข้างเลย เออ อยากมองก็มองไปสิ อิจฉาให้ตายไปเลย แฟนกูน่ารักครับ ทำไม?

“แล้วสรุปคิดได้ยังว่าจะกินอะไร?”

เขาย้ำคำถามอีกครั้งเมื่อมานั่งบนรถ มาร์คคาดเข็มขัดให้ตัวเองแล้วก็ทำท่าคิด

“บิงซู”

“แล้วไม่กินข้าวเหรอ?”

“กินอะไรอะ? อาหารไทยก็เผ็ดมึงกินไม่ได้ อาหารเกาหลีก็เบื่อ… เออ อาหารจีนเป็นไง เห็นบ่นอยากกินวันก่อนนี่?”

“เอางั้นก็ได้” แจ็คสันยิ้มรับความใส่ใจเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่น “กินข้าวก่อนแล้วไปกินของหวานนะ”

มาร์คพยักหน้ารับท่าทางร่าเริงเต็มที่ ไม่ได้เอะใจเลยว่าทำไมแจ็คสันไม่ห้ามเรื่องกินอีก

เพราะเขานึกได้น่ะสิ ว่าวิธีการเบิร์นที่ดีที่สุดของมาร์คคือตอนกลางคืน… กับเขานี่แหละ 😀

 

 

 

 

 

FIN

 

คิดว่าจะมีฉากเบิร์นมะ?

เราจะเขียนเหรอ…?

.

.

.

.

.

แจ็คสันกระชับสะโพกอีกคนให้เข้ามาใกล้ตนมากขึ้น ขณะที่มาร์คส่งเสียงไม่เป็นภาษาอยู่กับหมอนใบใหญ่ ใบหน้าเรียวเล็กจมลงไปในหมอนพร้อมกับเสียงอู้อี้ที่แจ็คสันเหมือนได้ยินคำสบถหลุดมาเป็นระยะ

“F…k”

“หยาบคายจัง” เขาแกล้งเย้า ขยับกายเร็ว ๆ อีกครั้งให้มาร์คหอบหายใจเล่น ก่อนจะพลิกตัวให้อีกคนขึ้นมานั่งตักเพราะเขาอยากเห็นใบหน้านั้นชัด ๆ

“มึงแกล้งกู!” โวยวายทั้งปากแดง ๆ ตัวแดง ๆ แก้มแดง ๆ ตาก็แดง ๆ ฮือ น่ารักเป็นบ้าเป็นบอ แจ็คสันอดใจไม่ไหวยื่นหน้าไปขบริมฝีปากล่างนั้นย้ำ ๆ

“ขยับเองบ้างดิ ผลัด ๆ กัน”

“ถ้าผลัดคือกูต้องเป็นคนทำไหม ไอสัส”

“ไม่เอาดิ เราทำอะดีแล้ว” แจ็คสันรีบพูด ก้มลงจูบแผ่นอกบางนั่นซ้ำไปมา เวย์นี่กินไปทำไม กินเพื่ออะไร แขนไม่มีกล้ามแต่ช่วงอกนี่ตึง ๆ ผิดปกติหรือเปล่า “มา ๆ ขยับเอง”

สุดท้ายมาร์คก็ยอมทำตาม มือสองข้างจับไหล่เขาไว้แน่น ขณะที่พยายามกดร่างลงมา น้ำตาคลอหน่วงเหมือนลูกกวางเห็นแล้วแจ็คสันอยากจะคลั่งตาย

จำตอนแรกที่มีอะไรกันได้นะ ตอนนั้นก็ประทับใจ แต่ยิ่งนานวันยิ่งจะเป็นบ้าอะ มาร์คดีไปหมดเลย แจ็คสันจะคลั่งตายวันละหลายรอบ

อืม แล้วสิ่งที่เขาไม่ได้บอกมาร์คคือ กิจกรรมนี้เผาผลาญแคลอรี่ได้ดีมาก

ดีแบบที่ว่า ถึงมาร์คจะกินเหมือนอดอยากมาสามเดือน ยังไงก็ไม่มีทางน้ำหนักขึ้นเกินสองโลในเร็ว ๆ นี้แน่นอน

สบายใจเรื่องลีนได้เลย 😀

#จาร์คคนแมน


 

 

TALK

อันล่างนั่นเราไม่ได้เขียนนะ ใครเขียนไม่รู้ /ยักไหล่

จริง ๆ เรื่องมันเริ่มมาจากการกินตลอดเวลาของลูก จะกินอะไรนักหนา กินขนาดนี้ไปเพื่ออะไร ๕๕๕๕๕๕ แล้วก็เกิดคิดถึงจาร์คในคนแมนขึ้นมาค่ะ ภาษาน่าจะแปลกไปจากเนื้อเรื่องหลัก เพราะ… ปกติเราก็เขียนแบบนี้แหละ ในเรื่องนั่นแหละที่แปลกกว่าปกติ ๕๕๕

ชอบไม่ชอบยังไงคอมเมนต์บอกกันได้ หรือไม่ก็ติดแท็ก #จาร์คคนแมน นะคะ

ด้วยรักและห่วงใย งานยังไม่เสร็จ ทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้เหมือนกัน

วิรัล

[Day6] Sunflower (Sungjin/Wonpil)

Sunflower

Short fic

Day6 – Sunjin x Wonpil

 

 

มีร้านดอกไม้ร้านหนึ่งอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยของซองจินไปเพียงสองช่วงตึก เพื่อนร่วมคลาสของเขาบอกว่าร้านเพิ่งเปิดได้เพียงสองอาทิตย์ แต่กลับมีลูกค้าหลั่งไหลเข้าไปมากมายจนเมื่อสามวันก่อนร้านต้องหยุดชั่วคราวเพื่อเติมของ ตอนที่ฟังเรื่องนี้ซองจินรู้สึกว่ามันเกินจริงไปมาก ข้อขัดแย้งแรกคือ ในฤดูร้อนแบบนี้จริงอยู่ว่าดอกไม้คงออกดอกกันบานสะพรั่ง แต่ก็ไม่ได้มีเทศกาลอะไรให้ต้องแห่กันไปซื้อดอกไม้ขนาดนั้น ดังนั้นจึงสอดคล้องกับข้อขัดแย้งถัดมาว่า ไม่มีความจำเป็นอะไรที่คนต้องแห่แหนกันเข้าไปในร้านขนาดนั้นเลย

และจริง ๆ แล้ววันนี้ซองจินก็ไม่ได้อยากจะไปร้านดอกไม้ร้านนั้นเลยด้วยซ้ำ เขามีซ้อมกีตาร์กับวงดนตรีของตัวเองต่อตอนหกโมงเย็นที่ห้องซ้อมห่างจากแถวนี้ไปสี่สถานี แต่นี่จะห้าโมงเย็นแล้วเขายังไม่ออกจากหน้าตึกคณะเลย สาเหตุก็เพราะคุณเพื่อนสนิทอย่างเจฮยองที่บอกให้เขาไปร้านดอกไม้เป็นเพื่อน แต่กลับชักช้าทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้จนเวลาล่วงมาขนาดนี้แล้ว

ดังนั้นพอเจอหน้ากันซองจินจึงถามทันที

“ทำไมมาช้าขนาดนี้”

“ทะเลาะกับยองฮยอน”

“ฮะ?”

ซองจินหน้าเหวอไป ลอบสังเกตสีหน้าของคนข้างตัว เขากลัวเจฮยองจะกังวล เพราะเขารู้ดีว่าสำหรับเจฮยองแล้วยองฮยอนเป็นเพื่อนคนสำคัญมาก มากกว่าแฟนเก่าสิบสองคนของเจฮยองเสียอีก

“แล้วนายโอเคไหมเนี่ย?”

“เออ ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น” เจฮยองถอนหายใจ ยืนบิดขี้เกียจใส่เขาสองทีแล้วขยับแว่น “แต่ยิ่งรู้สึกว่าต้องไปร้านดอกไม้เดี๋ยวนี้เลย รีบไปเหอะ!”

ซองจินไม่แน่ใจว่าที่เจฮยองรีบวิ่งไปโดยไม่คิดจะนั่งรถเมล์เพราะรีบจริง ๆ อยากซื้อดอกไม้ไปง้อยองฮยอน ซึ่งก็ไม่รู้ว่ายองฮยอนจะชอบไหม หรือเพราะนึกได้ว่าเย็นนี้มันกับเขาต้องซ้อมดนตรีด้วยกันกันแน่

 

 

ยังไม่ทันพ้นหัวมุมตึก ซองจินก็ประจักษ์แก่สายตาว่าความแน่นขนัดของผู้คนในร้านดอกไม้เป็นอย่างไร เพราะแถวที่รอเข้าคิวไปซื้อนั่นยาวขดจนเหมือนว่ามีนักร้องชื่อดังมาแจกลายเซ็นอยู่ในร้าน พวกเขาเดินไปใกล้แถวอย่างระมัดระวัง ซองจินเห็นเพียงว่าร้านเป็นห้องหนึ่งของอาคารพาณิชย์รูปทรงแบบยุโรป ตัวอาคารสีเหลืองอ่อนและประดับด้วยไม้ดอกเล็ก ๆ เต็มไปหมด กระถางดอกหน้าแมวห้อยระย้าลงมา สลับกับช่อดอกวิสเทอเรีย สีม่วงสลับขาวของดอกไม้ทั้งสองและสีเขียวของใบไม้เข้ากับพื้นหลังสีเหลืองอ่อนเป็นอย่างดี กระจกในร้านเป็นแบบใสแต่เห็นแค่สีเขียวของใบไม้ของพืชด้านในที่ซองจินระบุพรรณไม่ได้

“คนเยอะขนาดนี้” ซองจินพึมพำ จงใจให้เพื่อนได้ยิน “ยังแน่ใจว่าจะต่อแถวซื้อใช่ไหม?”

“เออสิ” เจฮยองตอบทันที “ฉันดูมีทางเลือกเหรอ มาต่อด้วยกันเลย”

“แล้วซ้อมเย็นนี้เอาไง”

เจฮยองถอนหายใจ “ยองฮยอนมันไม่ไปหรอก โทร.บอกโดอุนให้ยกเลิกซ้อมไปเลย ไว้เจอกันวันพุธดีกว่า”

ซองจินฟังแล้วถอนหายใจตาม เขาเดินเข้าไปยืนต่อแถวถัดจากเจฮยอง เห็นพนักงานในชุดผ้ากันเปื้อนสีเขียวเข้มส่งยิ้มให้ ขณะที่มือกดเบอร์โทร.หารุ่นน้องที่เป็นมือกลองประจำวง รอสายไม่ถึงสองวินาทีก็ได้ยินเสียงทุ้ม ๆ ของปลายสายทันที

“ครับ พี่ซองจิน”

“โดอุน ซ้อมวันนี้พวกพี่ติดธุระอะ ไปไม่ได้จริง ๆ” เขาไม่ได้ขยายความว่าทำไม “รายละเอียดเดี๋ยวเจอกันแล้วจะเล่าให้ฟัง เลื่อนซ้อมไปเป็นวันพุธได้ไหม?”

“ได้ ๆ ผมยังไปไม่ถึงเลย งั้นเดี๋ยวผมจองห้องล่วงหน้าไว้ให้”

“โอเค ได้เลย เดี๋ยวเจ–”

คำพูดของซองจินหายไปโดยไม่รู้ตัว ตอนที่ประตูร้านเปิดออกพร้อมกับช่อดอกทานตะวันช่อใหญ่ตามออกมา… เขาเห็นพนักงานที่หน้าร้านรับมันไปถือ ก่อนจะส่งยิ้มให้ชายคนที่หอบมันออกมาด้วยรอยยิ้มที่แสนสดใส

…สดใสยิ่งกว่าทานตะวันเสียอีก

“พี่ซองจิน?”

เสียงจากปลายสายเหมือนดึงซองจินกลับมาสู่ปัจจุบัน เขากะพริบตาปริบ ๆ ก่อนรีบร้อนกดตัดสายรุ่นน้องอย่างเลือดเย็น ซองจินมองเจ้าของนัยน์ตาเป็นประกายนั้นเหมือนโดนสะกด ก่อนจะรู้สึกตัวตอนโดนคนข้างหน้าถองศอกเข้าให้เบา ๆ

“มองอะไรขนาดนั้น”

เป็นเจฮยองนั่นเอง ซองจินหันขวับ “ทำไม?”

“เขาเป็นเจ้าของร้านไง นี่แหละสาเหตุที่คนเยอะขนาดนี้” คนรู้ข้อมูลอธิบาย “คิมวอนพิล อายุ 21 ปี จบมัธยมมาจากเมืองนอกเมืองนาแต่ต้องมารับช่วงกิจการดอกไม้ต่อที่บ้าน เลยเรียนสาขาเกี่ยวกับพฤกษศาสตร์อยู่ที่ม…”

“เดี๋ยว” ซองจินขัดไว้ก่อน “ทำไมรู้เยอะขนาดนี้?”

“ฉันสงสัยมากกว่าว่าทำไมนายถึงไม่เคยรู้” เจฮยองหรี่ตา “คิมวอนพิลเป็นนักเปียโนมืออาชีพที่ดังมากตอนเรียนมัธยม เขาเคยคัฟเวอร์เพลงลงอินเทอร์เน็ตด้วยซ้ำ นิตยสารดนตรีบ้านเราก็เคยสัมภาษณ์”

ซองจินรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่คนละโลกกับเจฮยอง ทำไมเขาไม่เคยเห็นหรือรับรู้เรื่องพวกนี้เลย

“งั้นคนก็แห่มาดูเขากันเหรอ?”

“ก็ส่วนหนึ่งแหละ” เจฮยองว่าต่อ “แต่ร้านดอกไม้ร้านนี้เป็นสาขาย่อยของร้านใหญ่ที่อยู่แถวคังนัม แล้วร้านนั้นแพงมาก แต่ร้านนี้ขายถูกกว่าลงมาหน่อย มีบริการจัดช่อดอกไม้งานอีเวนต์ด้วย ถ้าเดินทางไกลหน่อยแต่ได้ราคาดีกว่าเป็นใครก็อยากมาใช่ไหมล่ะ?”

“ก็จริง” ซองจินไม่ปฏิเสธ

“แล้วก็ถ้าโชคดีก็จะได้เจอคิมวอนพิลออกมาหน้าร้านด้วย”

“ถ้าโชคดี?” ซองจินขมวดคิ้ว “ปกติเขาไม่ได้ออกมาเหรอ?”

“ร้านเปิดมาสองอาทิตย์ คิมวอนพิลเคยออกมาหน้าร้านแค่สามวัน นี่เป็นวันที่สี่ เท่าที่ฉันรู้นะ” เจฮยองตอบเรื่อย ๆ ขณะที่สายตาของซองจินก็ลอบมองคนที่เดินยิ้มน้อย ๆ คุยกับคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย มีคนทำท่าจะจับมือเขาด้วย “พวกเรานี่โชคดีเหมือนกันแฮะ”

“อืม…”

ซองจินรับคำในลำคอ ขณะที่คิมวอนพิลเดินกลับเข้าไปแล้ว และแถวหน้าร้านก็ค่อย ๆ ขยับเหมือนตัวขี้เกียจนี่ไม่อยากเคลื่อนตัวไปไหน ซองจินชะโงกหน้าออกจากแถวไปถามพนักงานที่รับดอกทานตะวันมาจากวอนพิล

“ขอโทษนะครับ ดอกทานตะวันนั่นขายหรือเปล่าครับ?”

 

 

ซองจินไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตนี้ตัวเองจำเป็นจะต้องมาซื้อดอกไม้อะไรนักหนา เขาไม่ได้มีโอกาสพิเศษที่ต้องมอบอะไรให้ใคร พ่อแม่เขาไม่นิยมรับดอกไม้แต่ชอบให้พาไปกินข้าวมากกว่า ส่วนเพื่อนนี่ลืมไปได้เลยว่าจะต้องมาซื้อดอกไม้ให้มัน

แต่สองอาทิตย์มานี้ซองจินมาร้านดอกไม้ของวอนพิลทุกวันเลย เขาไม่ได้มาซื้อดอกไม้ แต่มารายงานผล

“ไม่ได้ขายครับ”

เสียงเจ้าของร้านดังอยู่ในหัวเมื่อนึกย้อนถึงประโยคคำถามที่เขาเอ่ยถามพนักงานคนนั้นไปเมื่อครั้งแรกที่มาร้าน ซองจินอึ้งไป ก่อนจะหันไปมองหน้ายิ้ม ๆ ของคนที่ตอนแรกเดินเข้าร้านไปแล้ว

“ถ้าไม่ได้ขายแล้วเอาออกมาทำไมเหรอครับ?” ซองจินถาม “เอ่อ ผมไม่ได้จะหาเรื่องนะ สงสัยเฉย ๆ”

คิมวอนพิลขยับยิ้มให้เขากว้างกว่าเดิมนิดหน่อย “เอามาประดับเฉย ๆ ครับ น้องอยากได้แสงที่มากกว่าในร้าน”

การเรียกดอกไม้ว่า ‘น้อง’ สะกิดต่อมความรู้สึกบางอย่างจนซองจินอยากยกมือขึ้นมากุมหัวใจ แต่ทำได้เพียงพยักหน้ารับ

“แต่ผมอยากได้จริง ๆ นะครับ”

แต่ยังไม่ยอมละความพยายาม

เจฮยองเคยบอกว่าเขาเป็นคนที่มุ่งมั่นกับเพื่อนที่ไม่น่ามุ่งมั่น เช่นครั้งหนึ่ง ซองจินเคยจะมีเรื่องกับอาจารย์วิชาโทเพราะอาจารย์ไม่ยอมอนุญาตให้กินน้ำในห้องเรียนได้ หรือยืนเถียงกับแม่ค้าเป็นหลายสิบนาทีเพื่ออธิบายความแตกต่างระหว่างปลาสองชนิดที่แม่ค้าบอกผิด

และนี่ เขาเพิ่งบอกว่าไม่ขาย ก็ยังบอกว่าอยากได้อีก

สีหน้าวอนพิลเปลี่ยนไปทันทีที่เขาพูดแบบนั้น ก่อนจะพยายามฝืนยิ้มตอบ “ไม่ได้หรอกครับ ผมไม่ได้ปลูกมาขายนี่นา ช่อนี้”

“คือว่า” แล้วซองจินก็ได้ตัดสินใจพูดในสิ่งที่ทำให้เจฮยองต้องหันมามองหน้าเขาอย่างตกใจ “ผมกำลังทำวิจัยเรื่อง ‘ดนตรีในฐานะสิ่งเร้าต่อดอกทานตะวัน’ อยู่น่ะ…”

เจฮยองหันควับมาทันที

ส่วนคนฟังตาเป็นประกาย

“ดนตรีอะไรเหรอครับ?”

“กีตาร์คลาสสิกครับ”

ซองจินตอบไปเช่นนั้น

และนี่คือสาเหตุที่คิมวอนพิลแบ่งดอกทานตะวันให้เขาถึงสองดอก ให้คำแนะนำการปลูกอย่างดีเยี่ยมจนซองจินกังวล เกิดมันตายขึ้นมาเขาจะทำยังไง

โชคดีที่วอนพิลให้เขา ‘ยืม’ น้องรักของวอนพิลมาฟรี ๆ โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องเข้าร้านเพื่อรายงานกับวอนพิลทุกครั้งว่าดอกทานตะวันมีพัฒนาการอย่างไร

เขากระชับสมุดโน้ตในมือแน่น ขณะปั้นสีหน้าไม่ให้ดูตื่นเต้นมากเกินไปเพื่อจะผลักประตูร้านที่วันนี้ไม่มีคนมากนักเข้าไป

ซองจินไม่ได้มีปัญหาเรื่องบันทึกพัฒนาการของดอกทานตะวันต่อสิ่งเร้าอะไรอยู่แล้ว เพราะจุดประสงค์จริง ๆ ของเขาเรื่องดอกทานตะวัน ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการพยายามหาข้ออ้างมาเจอวอนพิลทุกวันอยู่แล้ว

“คุณชอบดอกทานตะวันมากเหรอครับ?”

คำถามวอนพิลวันนั้นไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธ เพราะซองจินก็ชอบดอกทานตะวันมากจริง ๆ

แต่เขาแค่ชอบคนปลูกดอกทานตะวันมากกว่าแค่นั้นแหละ

 

FIN

 

  • สุดท้ายยองฮยอนก็หายโกรธเจฮยองเพราะดอกไฮเดรนเยียสีฟ้าอ่อนสวยมาก และความหมายดี (ตามที่ยองฮยอนแอบไปเสิร์ชในเว็บเพิ่ม)

 


talk

20161023

เขียนเสร็จตอนเที่ยงคืนสองนาทีพอดี ๕๕๕

คือจริง ๆ มันเกือบจะกลายเป็นเรื่องยาวแล้ว แต่นึกได้ว่าง่วงมากและถ้าเป็นเรื่องยาวก็ไม่พ้นดองเหมือนฟิคกัซ เพราะเอาจริง ๆ ก็ไม่ได้มีเวลาแต่งขนาดนั้น….. แต่อยากเขียนซองพิลมาก วันนี้ก็เลยเขียนอีกเรื่อง (ช่วยลืมเรื่องเก่าที่ไม่ได้ลบไปนั่นทีนะคะ อันนั้นเขียนตอนไม่มีสติ อะไรก็ไม่รู้…./แต่ก็ไม่ลบนะ เก็บไว้ให้เจ็บใจเล่น)

เราพยายามเขียนฟิคเกี่ยวกับร้านดอกไม้มาก่อน และนี่เป็นครั้งที่สอง แล้วก็ตระหนักอย่างจริงจังว่า ความรู้ทางพฤกษศาสตร์ของเราอ่อนด้อยเหลือเกิน แค่จะหาดอกไม้ที่บานในฤดูร้อนยังต้องเปิดกูเกิลตาแหก ถ้าข้อมูลผิดพลาดประการใดท้วงติงได้นะคะ

อีกเหตุผลหนึ่งที่เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องสั้น (นอกจากความง่วงและความกลัวดอง) คือมันอยู่ในเซ็ตของ #fictober (ที่ดองมาหลายวันแล้วและต้องไล่ตามให้ทันในเร็ววันนี้) ซึ่งเราไม่อยากให้มันยาวมากค่ะ…

ขอบคุณทุกท่านที่อ่านถึงบรรทัดนี้ คิดเห็นอย่างไรเชิญคอมเมนต์ด้านล่าง หรือติดแท็ก #wirunfic ในทวิตเตอร์ได้นะคะ

ด้วยรักและทานตะวัน

#wirunfic – Secret Dating #Jark

screen-shot-2016-10-16-at-11-29-17-pm

Jackson x Mark

Secret Dating

 

 

 

สถานที่นัดพบประจำของพวกเขาคือบันไดหนีไฟข้างอาคาร โดยปกติพวกเขามักใช้มันเป็นทางเดินขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้า แต่หลัง ๆ มานี้เพราะอ่อนล้าจากการซ้อมมากจนไม่อยากเดินไปสูง ๆ เลยมาจบลงที่การทิ้งตัวลงบนขั้นบันได ด้วยความที่อยู่ในจุดอับสายตาจึงแทบไม่มีคนใช้ และแจ็คสันกับมาร์คก็สบายใจกับการนั่งมองตึกรามบ้านช่องจากตรงนี้ดี

มาร์คนั่งเอนหลังพิงขั้นบันไดอยู่ตอนที่เสื้อยีนส์กลิ่นคุ้นเคยวางแปะลงบนศีรษะ เขาหยิบมันออกมาโดยไม่ต้องถามว่าใครเป็นเจ้าของ แล้วก็บ่นอุบ

“อะไร?”

แจ็คสันนั่งลงที่บันไดขั้นเดียวกัน ห่างจากเขาไปไม่ถึงฝ่ามือ ในมืออีกฝ่ายถือกระป๋องเบียร์อยู่สองกระป๋อง แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นเป็นของมาร์คเอง

พอได้ยินคำถามก็หันมาบอกเขาก่อนก้มหน้าก้มตาเปิดกระป๋องเบียร์ว่า “คลุมไว้ เดี๋ยวไม่สบาย”

มาร์คมองคนพูดที่สวมแค่เสื้อกล้ามสีดำแล้วถอนหายใจ เขาดึงฮู้ดของเสื้อตัวเองขึ้นมาคลุมศีรษะไว้ แล้วยื่นเสื้อกลับไปให้แจ็คสัน อีกฝ่ายพอเห็นเขาใส่ฮู้ดก็ไม่ว่าอะไร เพียงแค่ยื่นกระป๋องเบียร์ที่เปิดแล้วให้

“ขอบใจ” เขาพูดสั้น ๆ

พวกเขานั่งกันเงียบ ๆ จิบเบียร์ไปมองแสงสว่างจากตึกตรงข้ามไป มาร์คเอนศีรษะลงกับขั้นบันได แปลกใจนิดหน่อยที่วันนี้แจ็คสันไม่มีเรื่องชวนคุย ถึงเขาจะเงียบ แต่ปกติเวลาอยู่ด้วยกันแจ็คสันก็จะพูดมากจนมาร์คต้องพูดด้วยเป็นประจำ

จนเขาอดไม่ได้

“ทำไมวันนี้เงียบจัง”

“หืม?” แจ็คสันหันมา กะพริบตาใส่เขา “ก็อยากรู้ว่าอยู่เงียบ ๆ แล้วจะเป็นไงแค่นั้นแหละ”

“ชอบหรือไง?”

“ชอบความเงียบตอนอยู่กับนายอะ”

“…”

คนฟังแสร้งหยิบกระป๋องเบียร์ขึ้นมาจิบอีกรอบแก้เก้อ บางทีแจ็คสันก็ชอบพูดอะไรที่ทำให้เขาทำตัวไม่ถูกอยู่เรื่อย เช่นประโยคเมื่อครู่เป็นต้น

‘ปกติเวลาอยู่หน้ากล้องนายร้ายกว่าฉันอีก’ แจ็คสันเคยบ่นเขาเมื่อนานมาแล้ว แต่มาร์คก็ไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ

ในเมื่อแจ็คสันไม่มีอะไรจะพูด มาร์คก็ไม่รู้จะคุยอะไรเหมือนกัน เขายกเบียร์จิบไปเรื่อย ๆ จมดิ่งกับบรรยากาศเงียบสงบและน้ำค้างเย็น ๆ ได้อีกพักหนึ่ง แจ็คสันก็พูดขึ้นมา

“ขยับมาใกล้ ๆ หน่อยสิ”

เขาหันไปมอง แล้วก็ยอมขยับไปหาอ้อมแขนที่เหมือนรออยู่ก่อนแล้ว พอเขาเข้าไปนั่งใกล้ ๆ แขนของแจ็คสันก็โอบช่วงเอวเขาพอดี

“หมดยัง?” เจ้าของเสื้อยีนส์ถาม มาร์คยกเบียร์ขึ้นจิบอีกรอบ ก่อนส่งกระป๋องให้ แจ็คสันรับมันไป แล้วเอี้ยวตัวไปวางมันไว้บนขั้นบันไดเหนือหัวพวกเขา

“อยากคุยอะไรไหม?” เขาหันไปถาม ไม่ใช่จะหาเรื่องหรืออะไร ก็แค่ถาม และแจ็คสันก็ตอบ

“ไม่อะ”

“งั้นนั่งเฉย ๆ?”

“ไม่ดิ”

“แล้วจะทำอะไร?”

มองสบนัยน์ตาที่มองมาทางเขาแล้วก็เริ่มรู้สึกถึงระยะห่างที่ลดลง มาร์คหลุดขำ จริง ๆ ตัวเขาเองเดาสถานการณ์ได้ตั้งแต่ที่แจ็คสันเอาเบียร์มาให้แล้ว เพราะปกติพวกเขาก็ไม่ได้กินบ่อย ถ้าจะมานั่งจิบเบียร์กันก็คงเป็นข้ออ้างเพื่ออะไรสักอย่าง

และเหตุผลยอดนิยมก็คือการจูบ

เพราะพวกเขาไม่ได้นั่งห่างกันเลย ตอนที่แจ็คสันขยับหน้าเข้ามาใกล้ ๆ จึงใช้เวลาไม่กี่วินาที แม้ในความรู้สึกของมาร์คจะช้าจนเขาเก็บรายละเอียดทุกอย่างบนใบหน้าคมนั้นได้ สัมผัสนุ่มหยุ่นที่ริมฝีปากพาให้มาร์คหลับตา รับรู้ว่าแจ็คสันกำลังเล็มเลียริมฝีปากเขาอย่างเพลิดเพลิน

ถึงจะชอบอ้างว่าเมา แต่เมาเบียร์นี่ไม่ใช่แจ็คสันหวังแน่ ๆ ทำไมถึงได้คิดว่าจะต้องมีข้ออ้างก็ไม่รู้…

มาร์คได้แต่คิดในใจ ขณะยกมือขึ้นไล้กรอบหน้าอีกฝ่ายช้า ๆ เขาจูบตอบกลับไปบ้าง ยังไงตรงนี้ก็ไม่มีคนผ่านมาอยู่แล้ว ยิ่งเป็นเวลาตีสองตีสามแบบนี้ มือของแจ็คสันที่เคยอยู่ที่เอวเขากระชับขึ้นมาอีกจนมาร์คแทบจะเกยบนตัวอีกฝ่าย ทั้งยังไล้ไปทั่วแผ่นหลังจนรู้สึกแปลก ๆ

เขาอาศัยจังหวะชั่วขณะหนึ่งที่แจ็คสันผละริมฝีปากออกโพล่งขึ้นมา “เดี๋ยวก่อน”

“อะไรล่ะ?”

แจ็คสันขมวดคิ้ว ดูไม่พอใจนิดหน่อย เหมือนเด็กโดนขัดใจ แต่มาร์คคิดว่าถ้าไม่ห้ามตอนนี้ก็ไม่รู้จะห้ามตอนไหนแล้ว

“จะปล่อยให้เลยเถิดตรงนี้ไม่ได้นะ…”

“แค่จูบนี่ไม่ได้เหรอ?”

“ไม่ใช่สิ” มาร์คกลอกตา “หรือนายจะแค่จูบจริง ๆ ? ก็ได้ จูบไปเลย แล้วไม่ต้องทำอะไรอีก”

เหมือนแจ็คสันจะเข้าใจเจตนาของเขาแล้ว เลยหลุดยิ้มออกมา คนตรงหน้าปล่อยมือออกจากตัวเขา คว้ากระป๋องเบียร์ที่วางทิ้งไว้แล้วลุกขึ้น

“ก็ได้ กลับหอกัน”

 

FIN

 

  • ไม่ต้องมีคำบรรยายใด ๆ สักคำกับภาพข้างบนค่ะ
  • ทำไมต้องเป็นข้างบันไดคะ คราวก่อนก็ในตู้เสื้อผ้า (…)
  • ช่วงนี้โมเมนต์ดีเหลือเกินค่ะ (แม้จะไม่ค่อยมีอารมณ์หวีดเท่าไหร่ก็ตาม ;-; )
  • ไว้เจอกันจ้า
  • #wirunfic << นะจ๊ะ เมนต์ในนี้ก็ได้นะจ๊ะ