#wirunfic – Buddy 2 (JB/Jinyoung)

บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย, Y, BL
หากไม่ชอบกรุณากดปิด

บทความนี้เป็นเพียงเรื่องแต่งซึ่งเกิดจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล เหตุการณ์ หรือสถานที่จริงใด ๆ ทั้งสิ้น

Rating: PG
Category: M/M
Fandom: GOT7
Relationships: Im Jaebeom/Park Jinyoung
Characters: Im Jaebeom, Jackson Wang, Park Jinyoung

Buddy 2

Wirunyupha


 

พัคจินยองกำลังเคร่งเครียดกับการสรุปงาน วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการฝึกงานของเขาในบริษัทเล็ก ๆ แต่อบอุ่นแห่งนี้ เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่จินยองนึกเสียดายที่สุดไม่ใช่การต้องลาจากบริษัทไป แต่คือการที่เขาอาจจะไม่มีโอกาสได้เจอเจ้านายของเขาอีก หากบริษัทไม่ยื่นข้อเสนอให้เขากลับมาทำงานเมื่อเขาเรียนจบ

และตอนนี้มันก็จวนเจียนจะสองทุ่มอยู่แล้ว เขายังไม่เสร็จงานดี และเจ้านายกำลังจะออกจากบริษัท ถ้าเขาไม่รีบออกไปดักเจอและสร้างโอกาสอันดีให้ชีวิตของตัวเองตอนนี้ ทุกอย่างจบสิ้นแน่นอน

จินยองแทบจะใช้ทักษะทั้งหมดที่ตัวเองมีจนกดส่งงานเข้าเมลหัวหน้าของเขาเป็นอย่างสุดท้าย จริง ๆ ตอนแรกพวกพี่ในทีมอยากมีงานเลี้ยงเลี้ยงส่งเขา แต่จินยองคิดว่ามันไม่จำเป็น และพูดตรง ๆ ว่าเขาคิดว่าไว้จัดงานเลี้ยงต้อนรับตอนเขากลับมาทำงานที่นี่ดีกว่า

มั่นหน้าเหลือเกิน — เสียงของแจ็คสันเพื่อนสนิทเหมือนลอยขึ้นมาตอนเขาส่งข้อความไปบอกเรื่องนี้ให้มันฟัง เออ ใช่ เขามั่นหน้า เขาเก่ง จะเถียงหรือไง

พัคจินยองปิดคอมพิวเตอร์ กวาดข้าวของใส่กระเป๋าเตรียมจะออกจากชั้นที่ตัวเองทำอยู่ หลังจากดูแล้วว่าปิดฟืนไฟครบ เขาก็ตรงไปที่ลิฟต์ อดเลิกคิ้วอย่างแปลกใจไม่ได้เมื่อเห็นว่าลิฟต์ที่เขาเรียกลงมาจากข้างบน

ข้างบนคือออฟฟิศของเจ้านายของเขา… หรือว่าจะยังไม่กลับ?

เสียงสัญญาณลิฟต์มาถึงดังขึ้นพร้อมกับลิฟต์ที่เปิดออก คนที่ยืนอยู่ด้านในคือคนที่จินยองคิดไว้จริง ๆ

“…คุณอิม”

“คุณพัค” อีกฝ่ายทักเขากลับ สีหน้าประหลาดใจ “เข้ามาสิครับ”

“เอ่อ…ครับ”

จินยองเดินตัวลีบเข้ามาในลิฟต์ เหลือบมองเห็นว่าพวกเขาต่างมุ่งหน้าไปที่ชั้นล่างสุดเหมือนกันก็ผละไปยืนอีกฝั่ง แทบจะฝังตัวเองเข้าไปในผนังลิฟต์ เขาไม่ได้กลัวคุณอิมแจบอมหรอก จริง ๆ แล้วก็ไม่เคยกลัวอะไรเลยด้วย ทุกครั้งที่นำเสนองานก็กล้าสบตากล้าเถียงด้วยเหตุผลตลอด แต่นั่นมันตอนที่อยู่กับคนเยอะ ๆ ไง

พอมาอยู่กันสองต่อสองแล้ว…

จินยองเบนสายตามองผนังลิฟต์จนแทบจะเห็นรอยด่างทุกจุดบนนั้น เพื่อสงบอาการใจเต้นรัวของตัวเองที่เริ่มกำเริบทุกครั้งที่เห็นหน้าหล่อ ๆ ของคุณเจ้านาย

ต้องให้เขาพูดอะไรอีกไหม

ใช่ เขาตกหลุมรักอิมแจบอม

 

“วันนี้กลับดึกจัง”

เสียงทุ้มนุ่มของคนเป็นหัวหน้าเอ่ยแทรกความเงียบขึ้นมา จินยองหันควับไปมอง ก่อนจะพยักหน้ารับ

“พอดีสรุปงานน่ะครับ วันสุดท้ายแล้ว”

“วันสุดท้าย?” อีกฝ่ายเสียงสูงขึ้น “แล้วไม่มีปาร์ตี้เลี้ยงส่งเหรอ”

เขาหัวเราะแห้ง ๆ “ก็งานเพิ่งเสร็จ เลยคิดว่าไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ต้องมีก็ได้”

“เหรอ” เจ้านายยักไหล่ ยกข้อมือข้างขวาขึ้นดูนาฬิกา อา เจ้านายถนัดซ้ายนี่นา “ผมว่างนะ ไปดื่มอะไรกันหน่อยไหม”

“…ครับ?”

จินยองไม่แน่ใจว่าตัวเองได้ยินถูกหรือเปล่า

“ผมว่าง ไปหาอะไรดื่มหน่อยไหม ใกล้ ๆ นี่ ไม่กินสามทุ่มหรอก”

ในใจจินยองลิงโลด แทบอยากกดโทรศัพท์ไปเล่าให้เพื่อนสนิทฟัง แต่อีกใจก็คิดว่าเล่นตัวไว้ก่อนน่าจะดี

“…จะดีเหรอครับ”

“ไม่เห็นเป็นอะไรเลย เจ้านายเลี้ยงลูกน้องสักมื้อไม่เห็นแปลก”

“แต่ว่า…”

“หรือจะให้ผมเลี้ยงในฐานะอื่น?”

คำถามชวนคิดพร้อมกับคิ้วเข้มที่เลิกขึ้นด้วยท่าทางยียวนทำเอาคนฟังใจกระตุกวูบ นึกอยากโผเข้าซบไหล่กว้าง ๆ นั่นเสียเลยแต่ทำได้แค่แสร้งทำเป็นเขิน ๆ แล้วพยักหน้ารับ

“งั้นผมไม่เกรงใจนะครับ”

ดังนั้นเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก พัคจินยองจึงได้รับเกียรติให้ขึ้นเมอร์ซิเดสเบนซ์คันงามของคุณเจ้านาย นั่งเคียงข้างกันมาเป็นตุ๊กตาหน้ารถจนถึงบาร์ที่อยู่ห่างจากบริษัทไม่ไกลมาก แต่ใกล้สถานีรถไฟ เผื่อฉุกเฉินเมากันทั้งคู่จะได้มีทางอื่นกลับ จินยองสงบสติอารมณ์เป็นลูกน้องที่ดี นั่งเงียบ ๆ ไม่พูดไม่จามองข้างทางตลอด แม้ในใจจะกำลังชูมือขึ้นฟ้าแล้วเต้นระบำอยู่ว่า ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงโว้ย ก็ตาม

ตอนที่รถจอดและเขากำลังจะลงจากรถ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น จินยองขออนุญาตเจ้านายรับสายก่อนจะกรอกเสียงลงไป

“สวัสดีครับ”

“สวัสดีครับ? อะไรวะ ทำไมพูดสุภาพจัง”

ได้ยินเสียงก็รู้ว่าใคร จินยองกลอกตาแต่พยายามทำท่าทางให้ดูสุภาพเรียบร้อยที่สุดก่อนเอ่ยตอบ

“อยู่กับเจ้านายน่ะ มีอะไรหรือเปล่า”

“อยู่กับเจ้านาย…? ……ฮะ!!?”

ปลายสายโวยวายมาจนเขาต้องเผลอยกโทรศัพท์ออกจากหู หงุดหงิดอยากด่ามันจะตายแต่ทำไม่ได้ ต่อหน้าเจ้านายเขาต้องประพฤติดี เดี๋ยวเจ้านายตกใจ

“มาถึงขั้นนี้แล้วเหรอวะ!”

“เดี๋ยวค่อยคุยนะเพื่อน พอดีไม่สะดวก”

“อย่าให้พลาดนะมึง สู้ ๆ”

“…ขอบใจ”

เพื่อนรักวางสายไปแล้ว พร้อมกำลังใจที่ไม่รู้ว่าจะรับไว้ดีไหม จินยองเหลือบไปเห็นว่าเจ้านายยังยืนรอเขาอยู่จึงรีบตรงไปหาพร้อมรอยยิ้มสำนึกผิด

“ขอโทษที่ให้รอนะครับ”

“ไม่เป็นไรหรอก เข้าไปด้วยกันเถอะ”

แล้วอีกฝ่ายก็เดินนำเขาไปถึงหน้าบาร์ แต่ตอนจะเดินเข้าเจ้านายกลับให้เขาเข้าไปก่อนพร้อมรุนหลังคล้ายโอบเอวเขาให้เข้าไปพร้อมกัน ท่าทางนั้นทำเอาจินยองงงไปหมด

เอ๊ะ?

คิดมากไป เขาอาจจะแค่เป็นสุภาพบุรุษมากก็ได้

คุณอิมแจบอมพาเขามานั่งตรงเคาท์เตอร์ สั่งเครื่องดื่มมาสองสามอย่างพร้อมกับของกินเล่นพอไม่ให้หิว และเอ่ยสำทับว่า ทั้งหมดนี่ตัวเองเลี้ยง

จินยองยิ้มรับ มองเจ้านายถอดสูทตัวนอกพาดไหล่ เห็นเพียงเสื้อเชิ้ตสีดำสนิทพอดีตัวที่ทำให้ช่วงอกและไหล่ที่กว้างอยู่แล้วดูน่ามองเข้าไปอีก จนเขาต้องเสหลบไปมองแก้วเครื่องดื่มของตน

“ทำไมคุณพัคถึงมาฝึกงานที่นี่เหรอครับ”

สรรพนามอีกฝ่ายดูห่างเหินจนจินยองอดไม่ได้จริง ๆ

“เรียกจินยองเฉย ๆ ก็ได้ครับ”

“จะดีเหรอครับ”

“ดีสิครับ” จินยองหัวเราะ “ผมไม่ใช่คู่ค้าของคุณอิมนะครับ ไม่ต้องเรียกสุภาพขนาดนี้ก็ได้”

“งั้นคุณเรียกชื่อผมเฉย ๆ ก็ได้”

“ครับ?”

จินยองกะพริบตาปริบ ๆ “…หมายถึง เรียกว่า พี่แจบอม เฉย ๆ ก็ได้เหรอครับ”

“พอได้ยินคุณเรียกแล้วรู้สึกดีกว่าที่คิดนะ”

ตูม… จิตใจจินยองระเบิดกระจุยกระจาย เริ่มไม่รู้ว่าที่หน้าร้อน ๆ อยู่นี่เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือคนตรงหน้าทำให้เขาเมาเพราะคำพูดกันแน่

“เอ่อ…” จินยองเกาแก้มแก้เก้อ “ผมมาทำที่นี่เพราะอาจารย์แนะนำมาน่ะครับ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก”

“ดีแล้วล่ะครับ ออฟฟิศผมก็ไม่น้อยหน้าที่อื่นหรอกนะ”

“จริงครับ” เขายิ้มตอบ “มีแต่คนอยากมาทำที่นี่ แต่ผมไม่ยอมสละสิทธิ์สักที คนอื่นเลยอดกันหมด”

“ถ้าคุณสละสิทธิ์ เราก็ไม่ได้เจอกันสิครับ”

อีกแล้ว

มือที่กำลังจะหยิบเครื่องดื่มขึ้นจิบชะงักอีกรอบ จินยองเม้มริมฝีปาก ก่อนจะหันกายไปหาอีกฝ่ายแม้จะนั่งอยู่บนเก้าอี้สตูล

“คุณ… ไม่สิ พี่แจบอมครับ”

“ครับ?” อีกฝ่ายยกแก้วเครื่องดื่มค้างไว้ แล้วเลิกคิ้วมองเขา

“คือว่า…” จินยองกำลังตีกับตัวเองว่าควรจะพูดออกไปดีไหม แต่ถ้าไหน ๆ หลังจากนี้อาจจะไม่เจอกันอีกแล้ว เขาพูดออกไปน่าจะดีกว่า

“นี่พี่แจบอมไม่ได้กำลังจีบผมอยู่ใช่ไหมครับ”

“…”

เกิดความเงียบขึ้นมาทันที จินยองลอบถอนหายใจ เงียบอย่างนี้สงสัยจะล้อเล่นเสียมากกว่า ไม่น่าจะจริงจังอะไร

ดีแล้ว เขาจะได้ยั้งใจทัน

“ครับ”

“…ครับ?”

จู่ ๆ ช่วงของความเงียบที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงของคนเป็นเจ้านาย ทำเอาจินยองต้องรับคำอย่างงงงัน

“หมายถึงอะไร…”

“ผมกำลังจีบคุณจินยองอยู่”

จินยองเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง

พระเจ้า เขาไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม

“…จริงเหรอครับ”

“จริงสิ” อิมแจบอมหัวเราะ เห็นรอยยิ้มกว้างแบบที่ปกติไม่เคยเห็น จนตาเรียวคมนั่นราวกับจะเป็นขีด “ผมจริงจังนะ”

“…”

“แอบมองมาสักพักแล้ว แต่เพิ่งได้มาคุยกันจริง ๆ ก็วันนี้ เราไม่มีเวลากันทั้งคู่เลยนี่นา”

จินยองนึกย้อน แล้วก็อดยอมรับไม่ได้ ถึงพวกเขาจะทำงานที่เดียวกัน แต่เวลาเจอกันก็มีแค่ตอนประชุม เจ้านายทำงานอยู่ชั้นหนึ่ง เขาทำงานอยู่ชั้นหนึ่ง เดินสวนกันก็แทบจะไม่มี ข้าวก็กินกันคนละที่คนละเวลา การจะเจอกันนี่ยากยิ่งกว่าอะไร

แต่พออีกฝ่ายพูดออกมาตรง ๆ แล้วมันก็…

“หน้าแดงหมดแล้วนะ จินยอง

อีกฝ่ายเรียกเขาด้วยเสียงนุ่ม ๆ ที่ทำเอาจินยองอยากโยนแก้วเครื่องดื่มทิ้งแล้วพุ่งจากเก้าอี้ไปกอดหมับ

และ… ให้ตายเถอะ เขาแค่คิดไม่ใช่หรือไง แต่ทำไมรู้สึกตัวอีกทีถึงได้ไปอยู่บนตักของอิมแจบอมแล้วล่ะวะ!!!!?

 

FIN (?)


20170924

เหตุการณ์ก่อน Buddy เรื่องหลักค่ะ ก่อนที่ปมนยองจะคบกัน และตอนนั้นจินยองยังไม่เรียนต่อ ยังไม่เจอมาร์ค 555

ชอบหรือไม่ยังไง คอมเมนต์ได้ ไม่ก็ติดแท็ก #wirunfic เหมือนเดิมนะคะ

เลิฟยู

#wirunfic – Hyung (Jackson/Mark)

บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย, Y, BL
หากไม่ชอบกรุณากดปิด

บทความนี้เป็นเพียงเรื่องแต่งซึ่งเกิดจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล เหตุการณ์ หรือสถานที่จริงใด ๆ ทั้งสิ้น

Rating: PG
Category: M/M
Fandom: GOT7
Relationships: Jackson/Mark


 

HYUNG

Wirunyupha

 

 

 

“พี่มาร์ค!!”

เสียงเรียกตามมาด้วยเสียงรัวเคาะประตูดังลั่นจนเจ้าของห้องต้องเอาผ้าห่มคลุมโปงแล้วยกหมอนขึ้นมาอุดหูด้วยความรำคาญ แต่สบายใจได้ไม่ถึงห้าวินาทีประตูห้องก็เปิดผลัวะออกพร้อมกับเตียงที่ยวบลงและเจ้าของร่างที่ทาบทับลงทันที

“โว้ยยยยย” เขาโวยวายอยู่ใต้อ้อมกอดรัดแน่นนั้น ตอนนี้ผ้าห่มที่คลุมโปงตอนแรกกำลังจะทำเขาขาดอากาศหายใจตาย

“พี่มาร์คคค คิดถึงงงงง”

เสียงง้องแง้งอยู่ข้างหู เขาอยากจะดีใจอยู่หรอก แต่ตอนนี้…

“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนนนนน”

เขารีบมุดหัวตัวเองออกมาจากผ้าห่ม ตักตวงอากาศหายใจอย่างยากลำบาก แล้วก็ได้เห็นเจ้าของเสียงที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานาน

“กลับมาแล้วเหรอ แจ็คสัน”

เจ้าของชื่อยิ้มร่าทันทีที่ได้ยินเขาเอ่ยนามของตน

มาร์คมองดวงหน้าคมตรงหน้าพลางถอนหายใจ

แจ็คสัน หวัง เจ้าเด็กน้อยในวันนั้นที่เคยเดินตามเขาต้อย ๆ โตขนาดนี้แล้ว นึกถึงเมื่อก่อนที่คุณนายหวังฝากเขาเลี้ยงแล้วก็อดใจหายไม่ได้ พวกเขาอายุห่างกันหกปี เขาดูแลเด็กตรงหน้าเหมือนน้องชายแท้ รักและผูกพันชนิดที่ว่าตายแทนกันคงได้ แต่พออายุมากขึ้นต่างฝ่ายต่างก็มีภาระงานของตน เขาเรียนหนักขึ้น ส่วนแจ็คสันได้ทุนไปเรียนต่างประเทศหนึ่งปี และเพิ่งกลับมาเมื่อชั่วโมงที่แล้ว

ถามว่าเขารู้ได้ยังไงเหรอ เขาก็เปิดมือถือเห็นอีกฝ่ายส่งข้อความมาไง แต่เพราะเมื่อวานเพิ่งปั่นโปรเจกต์ไป กว่าจะเสร็จก็เช้า ยังไม่ได้นอนสักงีบ เลยอดทนแหกตาไปรับไม่ไหวจริง ๆ

“นอนดึกเหรอครับ” เจ้าเด็กน้อยว่าพร้อมกับยกมือขึ้นลูบผมเขาเบา ๆ ท่าทางเอ็นดูเหมือนเขาเป็นคนอายุน้อยกว่าทำให้มาร์คอดเบ้ปากไม่ได้

“ไม่ได้นอนเลยต่างหาก”

“งานหนักหน่อยนะ”

“ง่วงแล้ว ขอนอนอีกหน่อย”

“นอนด้วยสิ”

“เฮ้ย”

ไม่ทันขาดคำ แจ็คสันก็ทิ้งตัวลงมานอนข้างกันทันที มาร์คกะพริบตาปริบ ๆ นึกอยากด่าแต่ไม่รู้จะด่าอะไร

“…ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนสิ นั่งเครื่องมาตั้งนาน เสื้อผ้าเปื้อนหมด”

“ถอดโค้ตออกไปแล้ว สบายใจหายห่วง”

ตอบเขาพร้อมรอยยิ้มกว้างตามนิสัย

มาร์คถอนหายใจ เหลือบมองนัยน์ตาที่แม้จะกลมโตแต่หางตาตกทำให้ดูคมซึ้งอย่างบอกไม่ถูก ลูกแก้วสีเข้มนั้นจดจ้องมาทางเขาอย่างสนใจ และมันทำให้มาร์คอดรู้สึกแปลก ๆ ไม่ได้

ถ้ามันมีแค่ความสนใจก็ดี แต่เขารู้ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น

“อยู่คนเดียวเป็นไงบ้าง” อีกฝ่ายเริ่มบทสนทนาอีกรอบ เขาขมวดคิ้วกลับ

“บอกว่าจะนอนไง”

“ก็หลับตาไปแต่ก็ตอบผมไง”

“ฉันง่วง”

“ถ้าง่วงก็หลับเลย แต่ตอนนี้ตอบผมได้ก็ตอบหน่อยสิ”

มาร์คกลอกตา “นายนี่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ แถมจะแย่กว่าเดิมอีก”

แจ็คสันหัวเราะ “ผมก็คือผมเหมือนเดิม แต่ตรงไปตรงมาขึ้น เพราะตอนอยู่ที่นั่นมันอ้อมค้อมแบบที่นี่ไม่ได้นี่นา”

‘ที่นั่น’ ของแจ็คสันคือประเทศทางตะวันตกที่ไปแลกเปลี่ยนมา ส่วน ‘ที่นี่’ ก็คือบ้านเกิดของพวกเขาในเอเชีย

ความตรงไปตรงมาของแจ็คสันไม่ได้แสดงออกผ่านคำพูดเท่านั้น มาร์คหลบสายตาเจ้าตัวเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ แต่เอาเป็นว่าสายตานั้นชัดเกินไป มันชัดขึ้น… น่าจะสักหกเดือนก่อนที่มาร์ครู้สึกได้ ตอนที่พวกเขาเฟสไทม์กันแล้วแจ็คสันก็มองเขาแบบนั้น… แบบที่ไม่ใช่พี่น้องมองกัน

แต่เป็นสายตาที่มาร์คเคยเห็นมาก่อน มันเป็นสายตาเหมือนตอนที่พ่อของเขามองแม่

“แล้วตกลงว่าพี่อยู่ที่นี่เป็นยังไงบ้าง” อีกฝ่ายกัดไม่ปล่อย “มีใครมาจีบไหมเนี่ย”

“ถามทำไม”

“ก็อยากรู้ไง”

“เป็นแค่น้องชาย จะมาอยากรู้ไปทำไม”

เกิดความเงียบขึ้นมาชั่วขณะ มาร์คที่ตอนแรกหลับตาตอบต้องลืมตาขึ้นมา ทันทีที่สบกับนัยน์ตาคู่นั้นอีกครั้ง เขาก็นึกเสียใจว่าไม่น่าเลย …ไม่น่าลืมตาขึ้นมาเลย

“ผมเคยบอกแล้วไง ว่าไม่ได้อยากเป็นน้องชายของพี่ ไม่เคยเลยด้วย”

“…”

มาร์คอยากพูดอะไรสักอย่างตอบกลับไป แต่ก็พูดไม่ออก เขาได้แต่เงียบ หลุบสายตาลงต่ำราวกับกำลังเอ่ยคำขอโทษอยู่ในใจ

และนั่นทำให้แจ็คสันถอนหายใจออกมา ก่อนยกมือขึ้นลูบศีรษะเขาเบา ๆ

“…ฉันแก่กว่านายหกปีเลยนะ”

“ตอนนี้ใช่เวลาพูดเรื่องนั้นเหรอ”

“…”

“พี่นอนเถอะ ผมจะอยู่เป็นเพื่อนเอง”

เขาเหลือบมองอีกฝ่ายอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจหลับตาลง

มาร์ครอคอยการกลับมาของแจ็คสันมาตลอดตั้งแต่วันแรกที่เจ้าตัวเดินทางไปเรียน แต่ถึงอย่างนั้น… เมื่อได้เห็นแววตาที่ชัดเจนขึ้น มาร์คก็ไม่แน่ใจว่าเขายังอยากเจอแจ็คสันในฐานะน้องชายอีกหรือเปล่า

เราต่างก็เป็นผู้ชาย อายุก็ห่างกันตั้งหกปี เรื่องแบบนี้จะเป็นไปได้จริง ๆ หรือ

ความคิดนั้นกัดกินในใจของมาร์คตลอดเวลา และแน่นอนว่าเขาหลับไม่ลงเลยสักนิด ยิ่งได้ยินเสียงหายใจจากคนที่นอนกอดเขา ทั้งยังก้มลงมาประทับริมฝีปากลงกลางศีรษะเขาอีกต่างหาก

ให้ตายเถอะ แจ็คสันหวัง

เรื่องแบบนี้ มันไม่ควรเกิดขึ้นเลย

 

FIN


 

20170923

หลายคนอาจจะคิดว่าทำไมมันจบแค่นี้ เป็นปลายเปิดเหรอ… ก็ไม่เชิงค่ะ แต่จริง ๆ คือคนเขียนง่วง–

เมะอายุน้อยกว่าที่เติบโตขึ้นมารุกเนี่ย มันดีจริง ๆ นะคะ /ปิดปากหัวเราะ

 

แล้วเจอกันค่ะ

#wirunfic

#wirunfic – Suddenly (Jackson/Mark)

บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย, Y, BL
หากไม่ชอบกรุณากดปิด

บทความนี้เป็นเพียงเรื่องแต่งซึ่งเกิดจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล เหตุการณ์ หรือสถานที่จริงใด ๆ ทั้งสิ้น

Rating: PG
Category: M/M
Fandom: GOT7
Relationships: Jackson/Mark


 

Suddenly

Wirunyupha

*************(โปรดกดฟัง)*************

네가 문득 떠오르는 날엔

아무 일도 손에 잡히질 않아서

결국 잘 감춰뒀던 너와의 추억을

혼자 몰래 꺼내보곤 해

ในวันที่ฉันคิดถึงเธอขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว

ฉันก็ไม่อาจจะคว้าจับสิ่งใดไว้ได้อีกต่อไป

ทุกความทรงจำเกี่ยวกับเธอที่ฉันเก็บซ่อนมันไว้อย่างดี

ในที่สุด ฉันก็เอามันออกมาดูเพียงลำพัง

 

คาเฟ่ที่ทำงานของมาร์คกำลังจะปิด แสงอาทิตย์ลาลับฟ้าไปหลายชั่วโมงแล้ว ลูกค้าโต๊ะสุดท้ายกำลังจ่ายเงินอยู่ที่เคาท์เตอร์ ขณะที่มาร์คเก็บถ้วยชามใส่ถาดไม้สีน้ำตาลเข้มพร้อมกับใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดโต๊ะ

แล้วประตูร้านก็เปิดออก แม้ไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองมาร์คก็รู้ เสียงกระดิ่งที่ประตูดังกังวานไปทั่ว

เขาพูดไปทันทีทั้งที่ยังสาละวนกับการเก็บถ้วยชาอยู่

“ร้านปิดแล้วครับ ขอโทษด้วยนะครับ กรุณามาอีกครั้งพรุ่งนี้นะครับ”

แต่ไม่มีเสียงอะไรต่อจากนั้น ไม่มีเสียงประตูปิดกลับไป ไม่มีเสียงกดเครื่องคิดเลขของจินยอง ไม่มีเสียงตอบรับจากลูกค้าที่มาผิดเวลา

ราวกับโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ

มาร์คเงยหน้าขึ้นมามองอย่างสงสัย ก่อนจะนิ่งไปเมื่อเห็นผู้มาใหม่

“แจ็คสัน….”

 

내가 그렸던 우리의 모습은

참 멋지고 아름다워서 잊질 못하나 봐

결국 그 안에 너는 지워야겠지만

내 마음대로 되지가 않아

รูปภาพของพวกเราที่ฉันวาดไว้

ช่างงดงามเสียเหลือเกิน

จนฉันไม่อาจลืมมันได้

ในท้ายที่สุด ฉันต้องลบเธอออกไป

แต่มันก็ไม่ง่ายเลย

 

ร้านปิดแล้ว เก้าอี้ทุกตัวถูกยกเก็บบนโต๊ะยกเว้นตัวที่จินยองใช่ทำบัญชีอยู่ที่มุมหนึ่ง และตัวที่มาร์คยกลงมานั่งคุยกับแจ็คสัน

“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

เขาเอ่ยถามก่อน ซึ่งผิดวิสัยสิ้นดี แต่เพราะคนตรงหน้าเอาแต่จ้องหน้าเขา เขาเลยไม่รู้ว่าควรจะทำตัวยังไง

“เมื่อวานน่ะ”

มาร์คเผลอกลั้นหายใจ เสียงของแจ็คสันยังเหมือนเดิมเลย แม้จะไม่ได้ยินมาหลายปีแล้ว แต่เมื่อได้ฟังอีกครั้งก็รู้ว่าตลอดมามันก็อยู่ในใจของเขามาตลอด

เขาอยากตัดพ้อไปว่า ไม่เห็นบอกกันเลย แต่นึกได้ว่าไม่ได้มีสถานะจะพูดอะไรแบบนั้นได้แล้ว จึงเปลี่ยนเรื่องคุย

“แล้ว… มาที่นี่มีอะไรเหรอ”

แจ็คสันยังไม่ละสายตาจากเขา ทำให้มาร์คต้องหลบสายตาไปทางอื่นอย่างช่วยไม่ได้ เขาเห็นจินยองเหลือบมามองเป็นระยะ

“ฉันมาหามาร์ค”

“มาหาฉันทำไม” เขาถามกลับพร้อมรอยยิ้ม “เราไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้วนี่”

เราเลิกกันไปนานแล้ว ห้าปีเห็นจะได้ ตั้งแต่ที่แจ็คสันตัดสินใจไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส และเราต่างก็ไม่มีใครอยากทนกับความสัมพันธ์ที่อยู่กันคนละฟากโลก

แต่ถ้าถามว่า ห้าปีที่ผ่านมามาร์คเลิกรักแจ็คสันได้ไหม แน่นอน คำตอบคือ ไม่

และก็ไม่ได้คิดจะกลับมาคบกันด้วยเช่นกัน

“ฉันคิดถึงนาย”

แจ็คสันเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง

 

우리 다시 볼 순 있을진 모르겠지만 다 행복하자

살아가다 서로가 생각나도 그냥 피식 웃고 말자

최고의 꿈을 꾸었다고 생각하고 또 설레게 살자

그러다 다시 만나게 된다면 그때 생각해보자

ฉันไม่รู้ว่าเราจะได้เจอกันอีกต่อไปไหมแต่มามีความสุขกันเถอะ

แม้แต่เวลาที่เราต่างก็คิดถึงกันและกัน มายิ้มและก้าวต่อไปกันเถอะ

คิดเสียว่าเราต่างมีความฝันที่ดี และใช้ชีวิตด้วยหัวใจที่สั่นไหว

และถ้าเราได้พบกันอีกครั้ง ก็คิดถึงเรื่องราวเหล่านั้นกันเถอะ

 

มาร์คหลบสายตาคนถาม

“ที่ฝรั่งเศสเป็นยังไงบ้าง” เขาเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง “น่าจะสวยน่าดู”

แจ็คสันมองหน้าเขาเหมือนเดิม แล้วถอนหายใจ ก่อนจะตอบ

“สวย เมืองสวย อาหารอร่อย”

“แล้ว?”

“ฉันอยากให้นายไปเห็นด้วย”

มาร์คหัวเราะ กี่ปีผ่านไปแจ็คสันก็ยังเหมือนเดิม

“ฉันไม่มีปัญญาไปกับนายหรอกนะ”

“ไม่เป็นไร” แจ็คสันส่ายหน้าทันที “ถึงที่นั่นจะสวยยังไง แต่ไม่มีนายมันก็เท่านั้น”

มาร์คยิ้มค้าง

“…นายเอาจริงเหรอ”

“อืม”

“ห้าปีแล้วนะที่เราไม่ได้คุยกันเลย”

ห้าปีที่ไม่มีการติดต่อใด ๆ ต่างฝ่ายต่างตัดขาดกันไปอย่างสิ้นเชิง เวลาของพวกเขาเหมือนหยุดอยู่ตรงห้าปีที่แล้วตลอดกาล

“แล้วเราจะกลับมาคุยกันอีกครั้งไม่ได้เหรอ”

แจ็คสันว่าพลางยกมือข้างหนึ่งเอื้อมมากุมมือเขา มาร์คเหลือบไปเห็นข้อมือของอีกฝ่าย สร้อยข้อมือที่เขาซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อหลายปีก่อนนั้นยังอยู่เหมือนเดิมเลย

“นะ มาร์ค”

 

아니 다시 생각을 해보니 그래서

너 없이 살아 가는걸 견디긴 힘들 거야

너도 그러니 그럴까 그래 줘

이번엔 내가 더 노력할게

ไม่สิ แต่เมื่อฉันนึกถึงมันอีกครั้ง

ก็กลายเป็นว่ายากเหลือเกินที่จะมีชีวิตและอดทนอยู่ต่อไปโดยไม่มีเธอ

เธอเป็นเหมือนกันหรือเปล่า อาจจะเป็นใช่ไหม ได้โปรดเป็นแบบนั้นเถอะ

ครั้งนี้ ฉันจะทำให้เต็มที่มากกว่าเดิม

 

ในคาเฟ่ที่มาร์คทำงานมาหลายปี จินยองเดินผ่านด้านหลังเขาไปหลังร้าน เหลือเพียงเขากับแจ็คสันทีจับมือเขาอยู่นั่งมองหน้ากันอยู่ในร้านที่ไร้ผู้คน

“คิดว่ามาพูดแค่นี้แล้วฉันจะกลับไปคบกันนายเลยหรือไง”

เขาลองพูด แจ็คสันเลิกคิ้ว ก่อนจะบีบมือเขาแน่นขึ้นพร้อมกับยิ้ม

“นายพูดอะไรฉันก็ทำทั้งนั้นตอนนี้ แต่ไม่เอาแล้ว ไม่เลิกกันแล้วนะ ขอร้อง”

 

너를 아직도 이렇게 사랑하는데

지금 널 볼 순 없어도 기다릴 수 있는데

나는 왜 너에게 다시 다가가기

두렵기만 한지 모르겠어

ฉันยังคงรักเธอแบบนี้

ถึงแม้ฉันจะไม่ได้เห็นเธอในตอนนี้ ฉันก็รอได้

แต่ทำไมเธอถึงได้กลัวการกลับมาหาฉันนักนะ

ฉันไม่รู้เลย

 

มาร์คเม้มริมฝีปาก มันยากที่จะตัดสินใจ ช่องว่างห้าปีเป็นอะไรที่นานเหลือเกิน เพราะอย่างที่บอก มาร์คไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะได้กลับมาเจอกันอีก

แจ็คสันในตอนนั้นจากไปยังที่ที่ไกลแสนไกล และเขาก็ไม่อาจไล่ตามไปได้เลย

“โลกที่ไม่มีฉัน” เขาสบนัยน์ตาตรงหน้า “มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ”

แจ็คสันวางมืออีกข้างทับลงบนมือเขาแล้วบีบกระชับเบา ๆ

“มันแย่พอ ๆ กับที่นายรู้สึกนั่นแหละ”

มาร์คหลุดยิ้ม ให้ตายเถอะ แจ็คสันรู้จริง ๆ ด้วย

“แปลว่าห้าปีมานี้ก็ไม่ได้คบกับใครเลยเหรอ”

“อืม” อีกคนตอบพลางยกมือขึ้นเกาแก้มตัวเอง “ก็มีคนพยายามเข้าหานะ มีคนน่ารัก ๆ ด้วย แต่แบบ ไม่รู้สิ สำหรับฉันก็คิดถึงนายตลอด”

มาร์คหน้าเปื้อนยิ้มกับคำหวาน เขาเชื่อโดยสนิทใจว่าแจ็คสันพูดจริง เพราะแจ็คสันไม่เคยโกหกเขาเลย

เรารักกันเกินกว่าจะทำแบบนั้น

“ฉันไม่คิดเลยว่าเราจะได้เจอกันอีก” พอเขาพูดแบบนั้นแจ็คสันก็ทำตาโตจนเขาต้องรีบพูดต่อ “จริง ๆ นะ”

“…”

“แต่พอได้มาเจอกัน มานั่งตรงหน้ากันแบบนี้อีกครั้ง ก็เหมือนตลอดห้าปีที่ผ่านมาไม่เคยเกิดขึ้นเลย”

เขายกมือข้างที่ว่างเลื่อนไปจับสันกรามของชายตรงหน้า ก่อนจะยิ้มกว้างที่สุดในรอบห้าปี

“เหมือนเราไม่เคยจากกันไปไหนเลย”

 

우리 다시 볼 순 있을진 모르겠지만 다 행복하자

살아가다 서로가 생각나도 그냥 피식 웃고 말자

최고의 꿈을 꾸었다고 생각하고 또 설레게 살자

그러다 다시 만나게 된다면 그때 생각해보자

ฉันไม่รู้ว่าเราจะได้เจอกันอีกต่อไปไหมแต่มามีความสุขกันเถอะ

แม้แต่เวลาที่เราต่างก็คิดถึงกันและกัน มายิ้มและก้าวต่อไปกันเถอะ

คิดเสียว่าเราต่างมีความฝันที่ดี และใช้ชีวิตด้วยหัวใจที่สั่นไหว

และถ้าเราได้พบกันอีกครั้ง ก็คิดถึงเรื่องราวเหล่านั้นกันเถอะ

FIN

20170915

กำลังอ่านชาดกอยู่ แล้วเพลงนี้ดังขึ้นมาพอดี เลยลองเปิดหาความหมายดู แล้วก็คิดว่าน่าเขียนฟิคจังเลย แล้วก็เขียนเลย …ค่ะ

กลับไปอ่านหนังสือดีกว่า

เรารอคอยคอมเมนต์อยู่เสมอนะคะ ❤

#wirunfic

#wirunfic – The Best Gift #HappyMarkTuanDay (Jackson/Mark)

บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย, Y, BL
หากไม่ชอบกรุณากดปิด

บทความนี้เป็นเพียงเรื่องแต่งซึ่งเกิดจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล เหตุการณ์ หรือสถานที่จริงใด ๆ ทั้งสิ้น

Rating: PG
Category: M/M
Fandom: GOT7
Relationships: Jackson/Mark


 

The Best Gift #HappyMarkTuanDay

Wirunyupha

 

ของขวัญชิ้นแรกที่มาร์คจำได้ว่าตัวเองได้รับตอนวันเกิดเป็นลูกบาสเกตบอลลูกหนึ่ง

ตอนนั้นเขายังเด็กมาก แต่ก็ไม่ได้เด็กจนจำความไม่ได้ เขารับลูกบอลสีส้มนั้นมาและเล่นมันจนพังไปในวันหนึ่ง

ปีต่อมา เขาได้โน้ตเปียโนเล่มเล็ก มาร์คจำไม่ได้แล้วว่ามันมีเพลงอะไรบ้าง จำวิธีการเล่นไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่จำได้ว่าตัวเองตอนนั้นเล่นเพลงในนั้นได้จนหมดทั้งเล่ม ปัจจุบันโน้ตเพลงเล่มนั้นอยู่ในห้องเก็บของในบ้านเขา ไม่ได้มีใครหยิบจับมันขึ้นมาเล่นอีก

หลังจากนั้นมาร์คได้รับของขวัญในวันเกิดแตกต่างกันไป เป็นของแบบเด็กวัยเดียวกันได้กันบ้าง ไม่ก็มีราคากว่าคนอื่นนิดหน่อย แต่ก็เพียงนิดหน่อย แม้บ้านเขาจะค่อนข้างมีฐานะ แต่พ่อกับแม่ก็ไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับการใช้จ่ายให้ลูกเกินความจำเป็น ดังนั้นเขากับพี่น้องคนอื่นจึงไม่เคยได้ของที่แพงกว่ารองเท้าไนกี้รุ่นใหม่เลย

พอโตขึ้น มาร์คเริ่มคาดหวังกับของขวัญมากขึ้น และเขาก็ได้เรียนรู้ว่า ไม่ใช่ทุกคนที่มอบของขวัญให้เขา โดยคิดว่ามันเป็นของที่เขาควรได้รับ แต่กลับคิดว่า เขาควรตอบแทนอะไรบางอย่างอีกฝ่ายกลับไปด้วย

บางครั้ง มาร์คจึงกลัวการได้รับของขวัญเหลือเกิน

 

 

 

“ให้”

“ฉัน?”

“อืม วันเกิดนายนี่ สุขสันต์วันเกิดนะ”

ตอนนั้นเขาเพิ่งรู้จักแจ็คสันได้แค่สองเดือน ถามว่าสนิทกันมากแค่ไหน เอาจริง ๆ ก็มากพอที่จะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด และรู้เรื่องของอีกคนลึกระดับหนึ่ง

แต่ก็ไม่คิดว่าแจ็คสันจะให้ของขวัญวันเกิดเขา… ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันแค่สองเดือน

เขารับถุงกระดาษตรงสีดำมา อีกฝ่ายคงคิดว่ามันสวยดี ตัวเขาก็ไม่ได้ไม่ชอบอะไร

“มันคืออะไรเหรอ”

“ไม่บอก นายเปิดสิ”

“ตอนนี้?”

“ไม่ ๆๆๆ” แจ็คสันรีบเอามือมาขวางเขาที่กำลังแง้มปากถุงทันที “เปิดตอนที่ฉันไม่อยู่ โอเค้?”

“…ก็ได้”

“แล้วก็” อีกฝ่ายพูดแล้วหลบตา ทำเอาเขาเลิกคิ้วใส่

“แล้วก็?”

“ฉันซื้อเค้กไว้ให้ด้วย เก็บไว้ที่หอ ไปกินกันเถอะ ก่อนเจ้าพวกนั้นจะแย่งไป”

แจ็คสันหมายถึงพวกที่หอที่เห็นของในตู้เย็นไม่ได้เป็นต้องหยิบมากินโดยไม่ถามหาเจ้าของสักคำ สีหน้ายุ่ง ๆ นั้นทำให้เขาอดหัวเราะไม่ได้

“ไม่มีเซอร์ไพรส์หน่อยเหรอ”

“ก็… กลัวนายไม่ชอบอะ” แจ็คสันเกาหัว “ไว้ปีหน้าฉันจะเซอร์ไพรส์แล้วกัน”

เขาพยักหน้ารับ “โอเค ฉันจะรอ”

บทสนทนาระหว่างเราจบแค่นั้น ก่อนที่พวกเขาจะต่างแยกย้ายกันไปซ้อมตามตารางของตน

ของขวัญวันเกิดชิ้นแรกที่แจ็คสันให้คือเขาแหวนทำจากโลหะวงหนึ่ง

ทุกวันนี้เขาไม่ค่อยได้ใส่มันนัก แต่มันยังคงอยู่ในกล่องเก็บเครื่องประดับต่าง ๆ ของเขาเป็นอย่างดี ความจริงคือของขวัญเกือบทั้งหมดที่แจ็คสันให้เขาล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องประดับ แหวน ต่างหู สร้อยคอ สร้อยข้อมือ มีทั้งแบบที่เขาชอบ และแบบที่ตัวคนให้เองชอบ สุดท้ายเขาเองก็พลอยให้ของคล้าย ๆ กันในวันเกิดอีกฝ่ายไปด้วย

อาจเพราะรสนิยมเราคล้ายกัน บางครั้งจึงเผลอซื้อมาซ้ำกันอย่างไม่น่าให้อภัย และลงเอยด้วยการต่างคนต่างใส่ หรือเมื่อมีใครสักคนเอ่ยปากว่า จะซื้อเส้นนี้ให้ ไม่ต้องซื้อแล้ว

 

 

 

 

หลังจากรู้จักกันมานาน ความคาดหวังต่อของขวัญกับคนรู้จักก็ลดลง ยิ่งกับแจ็คสันมากยิ่งไม่หวังอะไรเลย เพราะหลัง ๆ มาอีกฝ่ายตารางงานยุ่งจนแทบไม่ได้ไปไหน เขาก็ไม่คิดว่าจะต้องเจียดเวลาไปหาของขวัญให้เขาหรอกนะ

แต่เหมือนเขาจะคิดผิด เพราะแจ็คสันดันทำได้จริง ๆ

“สร้อยนี่…”

“ของขวัญวันเกิด”

เขามองสร้อยคอเส้นเล็กตรงหน้าแล้วอดขำไม่ได้

“สมกับเป็นนายจริง ๆ”

“นายไม่ชอบเหรอ”

“ถ้านายให้ฉันก็ชอบหมดนั่นแหละ เคยบอกด้วยเหรอว่าไม่ชอบ”

 

 

 

 

อาจเพราะความสัมพันธ์ที่พัฒนามาไกลกว่าเดิม เราลดความสำคัญของวัตถุลง ให้ความสำคัญกับการกระทำมากขึ้น

ปีหนึ่งเขาให้ของขวัญแจ็คสันเป็นสร้อยข้อมือยี่ห้อที่เจ้าตัวชอบ ราคามันค่อนข้างสูง เป็นของที่แพงที่สุดที่เขาซื้อตอนนั้นเลย (และแพงกว่าของขวัญวันเกิดพ่อของเขาอีก เขาโดนพ่องอนเรื่องนี้อยู่หลายเดือน) พอแจ็คสันเห็นของขวัญชิ้นนั้น วินาทีแรกเขาดีใจ แต่วินาทีถัดมากลับดึงมาร์คไปกอดแล้วบอกว่า

‘นายคือของขวัญที่ดีที่สุดในโลกนะ รู้ใช่ไหม’

น้ำเน่าสิ้นดี แต่เขาดันรักความน้ำเน่าแบบนั้นเนี่ยสิ

เขารู้ว่าแจ็คสันไม่อยากให้เขาฟุ่มเฟือย เขาก็เหมือนกัน ทว่าเราต่างคิดว่าการซื้อของขวัญให้อีกคนไม่ใช่เรื่องไร้สาระ ไม่ใช่เรื่องไม่จำเป็น ไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือย แม้มูลค่ามันจะมากมาย แต่ไม่เท่ากับความรู้สึกของเราเลย

 

 

 

 

ความโชคดีอย่างหนึ่งในชีวิตของมาร์คคือ ตั้งแต่เขารู้จักแจ็คสัน ไม่มีปีไหนที่แจ็คสันไม่อยู่กับเขาในวันเกิดเลย

ปีนี้ก็เช่นกัน แต่มันแตกต่างจากปีก่อน ๆ ตรงสถานที่

ปีนี้เขาอยู่ที่บ้านของแจ็คสัน

มาร์คไม่เคยมีแผนสำหรับวันเกิดของตน ส่วนใหญ่คนที่จัดการมักเป็นเพื่อนของเขา ปีนี้ก็เช่นกัน พวกเขามีปาร์ตี้วันเกิดเล็ก ๆ กันในโรงแรม และลงท้ายด้วยการที่แจ็คสันขอให้เขากลับบ้านไปด้วยกัน

เขาได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเหมือนเคย เหมือนกับครั้งแรกที่เขามาที่นี่กับแจ็คสันสมัยเป็นเด็กฝึก

ห้องนอนของมาร์คในคืนนี้คือห้องของแจ็คสัน หลังจากจัดการตัวเองเสร็จมาร์คก็ทิ้งตัวลงนอน กดโทรศัพท์มือถือดูความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่เกาหลีเข้าวันเกิดเขามาชั่วโมงนึงแล้ว เขากดดูแฮชแท็กในทวิตเตอร์และภาพมากมาย สำรวจจนกระทั่งเตียงอีกฝั่งยวบลง เป็นเจ้าของเตียงนั่นเองที่นั่งมองเขาด้วยตากลม ๆ เหมือนลูกหมานั่น

“อะไรล่ะ”

“ยิ้มอารมณ์ดีเชียว ดูอะไรเหรอ”

“รูปฉันเอง”

“อยากดูบ้างอะ”

“ดูในทวิตเตอร์สิ”

แจ็คสันเบะปากใส่เขาเหมือนเป็นเด็ก เขาเลยขยี้ผมอีกฝ่ายเล่นไปหนึ่งทีข้อหาเริ่มจะไร้สาระ

“นอนได้แล้ว”

“อุตส่าห์ชวนมานอนบ้านนี่จะไม่ทำอะไรเลยจริง ๆ เหรอ”

มาร์คถึงกับหันไปมองหน้าคนพูด

“เอาจริง?”

แจ็คสันถอนหายใจ ขยับทั้งหน้าและตัวมาใกล้จนสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากผิว “มีเวลามาล้อเล่นกับอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ”

เขาหัวเราะ เก็บมือถือไว้ตรงชั้นข้างหัวเตียง แล้วพลิกตัวมามองหน้าคนพูดที่เท้าข้อศอกกับที่นอน

“แต่พรุ่งนี้ต้องทำงานนะ”

“อย่างน้อยขอฉันจูบนายไม่ได้เหรอ”

“นั่นคือของขวัญวันเกิดของนายหรือเปล่า”

สิ้นประโยค ใบหน้าด้านบนก็ขยับเคลื่อนมาแนบชิด ลมหายใจร้อนปะทะผิวหน้าพร้อมกับริมฝีปากที่สัมผัสกันและกัน มาร์คหลับตา รับรู้เพียงปลายจมูกที่เฉียดกันไปมาและความนุ่มหยุ่นที่ริมฝีปาก และเสียงประหลาดที่เขาอายเกินกว่าจะพรรณนา

จวบจนคนมอบของขวัญวันเกิดพอใจ ริมฝีปากนั้นจึงได้ผละออกไป มาร์คพรูลมหายใจใส่

“ยังไม่ได้อนุญาตเลยนะ”

“นายบอกเองว่า ถ้าเป็นของที่ฉันให้ ไม่ว่าอะไรนายก็ชอบหมด”

คนฟังยิ้มหวานกับคำพูดนั้น ก่อนจะขยับหน้าเข้าไปใกล้และเอ่ยประโยคหนึ่งก่อนจะเป็นฝ่ายกดริมฝีปากของตัวเองลงบ้าง

“ใครบอกว่าฉันไม่ชอบล่ะ”

 

 

 

 

แม้บางครั้งมาร์คจะกลัวการได้รับของขวัญ หวาดหวั่นว่าคนที่ให้จะอยากได้อะไรจากเขาตอบแทน แต่ความรู้สึกเหล่านั้นไม่เคยเกิดขึ้นกับการรับของขวัญจากแจ็คสันเลยสักครั้ง

อย่างน้อยสำหรับมาร์ค แจ็คสันก็คือของขวัญที่ดีที่สุดเช่นกัน

 

FIN


 

20170408

สุขสันต์วันเกิดผู้ชายที่เรารักที่สุดในโลกไม่นับคนในครอบครัว 555

ฟิคสั้น ๆ ที่ประกอบด้วยความมโนและโมเมนต์ผสม ๆ กันออกมาเป็นฟิคเพ้อ ๆ ช่วงนี้กำลังต่อสู้กับตัวเองค่ะ อยากเขียนฟิคมาก และงานเยอะมาก และก็อู้บ่อยมากด้วย ติดฟิคคนอื่น 5555

ขอให้มาร์คมีความสุขมาก ๆ มีคนรักเยอะ ๆ นะ ❤ เรารักเธอมากขึ้นทุกวันเลยยยย

แล้วเจอกันค่า