Unpredictable: A Letter (JB/Jinyoung)

บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย, Y, BL
หากไม่ชอบกรุณากดปิด

บทความนี้เป็นเพียงเรื่องแต่งซึ่งเกิดจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล เหตุการณ์ หรือสถานที่จริงใด ๆ ทั้งสิ้น

Rating: PG
Category: M/M
Fandom: GOT7
Relationships: JB/Jinyoung


Unpredictable

A Letter

by Wirunyupha

 

 

 

เมื่อดอกไม้ดอกแรกที่เห็นได้จากหน้าต่างห้องนอนในหอพักของพัคจินยองเริ่มผลิบาน ก็ประจวบเวลากับที่จดหมายฉบับหนึ่งมาปรากฏที่กล่องรับจดหมายของเขาตรงส่วนกลางของหอพัก

จินยองหยิบมันขึ้นมาพิจารณา ซองจดหมายสีน้ำตาลเรียบง่าย ประทับตราไปรษณียากรของสหราชอาณาจักร และจ่าหน้าถึงเขาด้วยลายมือที่คุ้นเคย แน่นอนว่ามันไม่ใช่จดหมายฉบับแรกแม้ในช่วงเวลาที่ผู้คนนิยมสื่อสารกันด้วยอินเทอร์เน็ตหรืออุปกรณ์ไร้สายต่าง ๆ มากกว่า ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นลูบรอยหมึกปากกาที่จรดเป็นชื่อผู้ส่งช้า ๆ

JB

เขาเผลอยิ้มให้มัน ก่อนจะเก็บใส่กระเป๋าและตั้งใจว่าจะกลับมาเปิดอ่านเมื่อกลับมาจากมหาวิทยาลัย

 

 

 

ชีวิตการเป็นนักศึกษาปีสามไม่ได้ตื่นเต้นมากไปกว่าตอนที่เพิ่งเข้ามาเรียนใหม่ ๆ เลย วิชาเรียนที่หนักขึ้นและงานค้นคว้าต่าง ๆ ทำให้จินยองใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับห้องสมุด ทั้งที่แต่เดิมก็แทบจะเข้ามาทุกเวลาหลังอาหาร ดังนั้นกว่าจะได้กลับมาถึงหอพักเพื่อแกะจดหมายออกอ่าน ท้องฟ้าของกรุงโซลก็เป็นสีเข้มเสียแล้ว เหลือเพียงแสงไฟจากถนนหนทางที่ส่องลอดหน้าต่างเข้ามา

จินยองเปิดไฟโต๊ะอ่านหนังสือ บรรจงแกะจดหมายออกอย่างเบามือ กระดาษสีครีมพับทบกรีดมุมอย่างเรียบร้อยถูกดึงออกมาจากซองอย่างระมัดระวัง ก่อนจะคลี่กระดาษในมือออกอ่าน

ลายมือเป็นระเบียบแต่ยุ่งเหยิงเพราะคนเขียนไม่ชอบยกปากกาทำให้จินยองหลุดขำ แล้วค่อยตั้งสมาธิกับเนื้อหาในจดหมาย

 

ถึง จินยอง

แม้นี่จะไม่ใช่จดหมายฉบับแรกที่เราเขียนถึงกัน–ที่ฉันเขียนถึงนาย–แต่ให้ตายเถอะ ทุกครั้งฉันต้องเสียเวลาหลายสิบนาทีเพียงเพื่อจะคิดคำเริ่มต้นดี ๆ ให้นายรู้สึกว่าจดหมายของฉันไม่น่าเบื่อ แต่มาคิด ๆ ดูแล้ว  ถึงฉันจะเขียนน่าเบื่อกว่านี้อีกนิด ยังไงนายก็จะอ่านมันอยู่ดี เพราะจดหมายฉบับก่อนที่นายเขียนตอบฉันมา นายก็เขียนตอบมาแทบจะประโยคต่อประโยคขนาดนั้นนี่นะ

ตอนนี้ที่ลอนดอนอากาศอุ่นขึ้นแล้ว ใบไม้ผลิคงจะมาถึงในเร็ว ๆ นี้ ตอนที่จดหมายไปถึงนาย ที่โซลคงอุ่นขึ้นแล้วมั้ง ฉันคิดถึงซากุระอยู่เหมือนกัน ที่นี่ไม่มีต้นไม้แบบนั้น แต่สีเขียวของใบไม้ก็ดูสดชื่นกว่าหิมะอยู่หรอก อย่างน้อยก็ไม่ต้องเฉอะแฉะจนน่ารำคาญ

เพราะตอนที่เราเจอกันเป็นช่วงฤดูหนาว แถมยังเป็นช่วงที่หนาวที่สุดอีก แต่มันก็ไม่หนาวเท่าไหร่เพราะฉันมีนายนี่นะ–ฉันรู้ว่านายกำลังยิ้ม ไม่ต้องเลย ฉันก็เขินอยู่เหมือนกัน แต่มันเป็นเรื่องจริงนี่นา ฉันอยากให้จินยองอยู่ที่นี่ด้วยกันตอนนี้จัง ที่นี่ตอนใบไม้ผลิน่าเที่ยวกว่าหน้าหนาวเยอะเลย ฉันจะได้พานายนั่งรถเที่ยวรอบลอนดอนอีก แล้วก็ถ่ายรูปนายไว้เยอะ ๆ เลย

ให้ตายเถอะจินยอง ฉันคิดถึงนายมากจริง ๆ กว่าฉันจะกลับเกาหลีก็ปลายปีเลย ใจคอนายจะไม่ติดต่อกับฉันทางอื่นจริง ๆ เหรอ ไม่คิดถึงฉันหรือไง จินยอง

อาทิตย์หน้าฉันจะไปสก็อตแลนด์ ไว้จะส่งโปสการ์ดจากที่นั่นไปหานายนะ

คิดถึงนะ

แจบอม

 

“ผมก็คิดถึงพี่แจบอมเหมือนกัน”

จินยองพึมพำกับกระดาษเมื่ออ่านจบ เขาพับจดหมายเก็บใส่ซอง แล้วเปิดลิ้นชัก เก็บจดหมายไว้ในที่ที่เขาเก็บประจำ ซองจดหมายจำนวนมากวางเป็นระเบียบอยู่ในนั้น เขาตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะเขียนตอบ ใช้เวลากับจดหมายแต่ละฉบับสักชั่วโมงเพื่อใคร่ครวญสิ่งที่จะเล่าให้อีกฝ่ายฟัง

ว่าแต่ละวันเขาทำอะไรบ้าง ช่วงนี้มีอะไรสนุก ๆ อากาศที่โซลเริ่มอุ่นแล้วไม่ต่างจากที่ลอนดอน บางทีเขาน่าจะแนบกลีบซากุระส่งไปให้ด้วย

แล้วก็บอกพี่แจบอมด้วยว่า

เขาเองก็คิดถึงอีกฝ่ายมากแค่ไหน

 

FIN

 

20170720

เหตุเกิดจากแทร็กการ์ด Coming Home ค่า ฮือ ชอบประโยคที่จินยองอ่านมากเลย ก็เลยได้ไอเดียเขียนฟิคนิดหน่อย จริง ๆ แล้วตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Unpredictable ซึ่ง… เรื่องหลักเรายังไม่เคยอัปเลย 55555 (แต่อัปตอนพิเศษก่อน…)

ชอบไม่ชอบยังไงก็คอมเมนต์ไว้ได้ที่นี่นะคะ (จริง ๆ เรื่องนี้มีแท็ก #บนลอนดอน แหละ แต่เพราะยังไม่เคยลงเรื่องหลักเลยคิดว่ายังไม่ใช้ดีกว่า 555)

แล้วเจอกันเมื่อทุกอย่างเป็นใจให้เราเขียนฟิคต่อค่ะ 555

If – 1st Clause: If Mark Wasn’t in Seoul on July 3, 2011

บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย, Y, BL
หากไม่ชอบกรุณากดปิด

บทความนี้เป็นเพียงเรื่องแต่งซึ่งเกิดจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล เหตุการณ์ หรือสถานที่จริงใด ๆ ทั้งสิ้น

Rating: PG
Category: M/M
Fandom: GOT7
Relationships: Jackson Wang/Mark Tuan

If

1st Clause

If Mark wasn’t in Seoul on July 3, 2011

เงื่อนไขที่ 1 ถ้ามาร์คไม่ได้อยู่ที่โซลในวันที่ 3 กรกฎาคม 2011

 

“ฉันนึกว่านายจะนั่งอยู่อย่างนั้นทั้งวันเสียอีก” แทมมี่บ่นอุบ ขณะที่มือบังคับพวงมาลัยนำชาวคณะบ้านต้วนที่เหลือ ซึ่งได้แก่ตัวแทมมี่เอง โจอี้ และผม ไปโบสถ์แถวบ้าน “จริง ๆ ถ้านายไม่ไหวก็บอก ฉันจะได้บอกแม่กับพ่อว่านายไม่ค่อยสบาย มาไม่ได้”

“ฉันไม่ได้แย่ขนาดนั้น” ผมปฏิเสธ ทั้งที่ความจริงตอนนี้ไม่อยากทำอะไรเลยนอกจากนั่งเฉย ๆ อยู่ในห้อง “ฉันคิดว่าออกมาข้างนอกดีกว่า”

ใช่ ผมคิดว่าอย่างนั้นจริง ๆ

แม้ร่างกายและจิตใจจะรู้สึกอ่อนล้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นกะทันหัน แต่อะไรบางอย่างบอกให้ผมลุกจากเตียงขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวออกมาโบสถ์กับที่บ้าน ผมพกออกมาเพียงแค่โทรศัพท์มือถือไอโฟนสี่รุ่นที่เพิ่งออกได้ไม่นานของปี 2011 มา และหูฟังเผื่อเป็นเครื่องช่วยป้องกันคนเข้ามาคุยด้วยในกรณีที่ผมไม่พร้อมคุย

ซึ่งตอนนี้ก็เป็นอย่างนั้น ผมไม่อยากคุยกับใครทั้งนั้น

“มาร์ค” โจอี้เอี้ยวตัวจากเบาะหน้ามาหา “ไม่เป็นไรจริง ๆ นะ”

ผมกะพริบตาปริบ ๆ “…อืม”

อีกฝ่ายผละกลับไป ท่าทางสบายใจมากขึ้น จู่ ๆ ผมก็นึกขอบคุณทักษะการแสดงที่ตัวเองร่ำเรียนมาตลอดการเป็นไอดอล

ระหว่างที่ได้อยู่กับตัวเองขณะแต่งตัวและนั่งรถจากบ้านมาถึงโบสถ์ ผมค่อย ๆ เรียบเรียงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ถ้าวันนี้คือวันที่ 3 กรกฎาคม 2011 จริง ผมในตอนนี้จะอายุสิบเจ็ดย่างสิบแปด ขณะที่เมื่อวานตัวผมเองยังอายุยี่สิบห้าจะยี่สิบหกอยู่เลย เวลาที่ห่างกันเกือบแปดปีนี้ทำให้ผมรู้สึกสับสนหลาย ๆ อย่าง ที่แน่ ๆ คือความทรงจำของผมยังเป็นของตัวเองในปี 2019 ผมไม่รู้ว่าจะเรียกว่าเป็นโชคดีได้หรือไม่ แต่เพราะความทรงจำของผมไม่สอดคล้องกับช่วงเวลาปัจจุบัน ทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีความทรงจำของปี 2011 อยู่เลย

ซึ่งในความเป็นจริง… ปี 2011 ผมควรจะอยู่ที่เกาหลี ไม่ใช่ลอสแองเจลิส

ผมไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ถ้าจะบอกว่าย้อนเวลา (ฟังดูแฟนตาซี แต่ตอนนี้ผมนึกคำอื่นไม่ออก) มันก็ควรจะย้อนแค่เวลา ตัวผมก็น่าจะอยู่ที่เกาหลีสิ แต่ทำไมตอนนี้ผมอยู่ที่นี่

แล้วถ้าตอนนี้ผมอยู่ที่แอลเอ คำถามคือ แล้วอีกหกคนที่เหลือล่ะ?

ระหว่างทางผมต่ออินเทอร์เน็ตและพยายามหาข้อมูลหลาย ๆ อย่างที่น่าจะเกี่ยวข้องกับคนที่ผมรู้จัก ปีนี้ยังไม่มี JJ Project ยองแจก็ยังไม่มาเป็นเด็กฝึก ผมควรจะได้เจอแบมแบมกับยูกยอมแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดพวกเขาควรจะอยู่ที่เกาหลีตอนนี้

แต่ผมเองยังอยู่ที่นี่ เพราะงั้นโอกาสที่พวกเขาจะไม่ได้เป็นเด็กฝึกก็เป็นไปได้

และที่สำคัญที่สุด

แจ็คสัน หวัง

3 กรกฎาคม 2011 …ผมไม่รู้ว่าทำไมต้องเป็นวันนี้ แต่สำหรับผมวันนี้คือวันที่ผมจำได้ขึ้นใจ

มันคือวันแรกที่แจ็คสันมาถึงเกาหลี วันแรกที่ผมกับแจ็คสันได้เจอกัน

 

แทมมี่ใช้เวลาไม่นานก็พาผมกับโจอี้มาถึงโบสถ์ วันนี้มีมิสซาวันอาทิตย์เหมือนกับทุกอาทิตย์ที่ผมเคยมา แต่ดูจะงานใหญ่โตเป็นพิเศษ พอผมทำหน้างงกับงานตรงหน้าโจอี้ก็หันมาตอบ

“พรุ่งนี้ Independence Day ไง”

ผมลืมแม้กระทั่งวันชาติของบ้านเกิดตัวเองเลยเหรอเนี่ย

ภายในโบสถ์คลาคล่ำไปด้วยผู้คนจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียที่อาศัยอยู่ในละแวกนี้ แม่ของผมเล่นเปียโนอยู่ข้างกลุ่มนักร้องประสานเสียง แน่นอนว่ามีคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาทั้งนั้น พวกเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่ประถม

“ทำไมวันนี้ทำหน้าแปลก ๆ” ผมได้ยินเสียงกระซิบจากข้างหลัง พอหันไปก็เห็นเป็นแอนดรูว์ที่ตัวเล็กกว่าในความทรงจำขยับมาใกล้ “ไม่สบายหรือไง”

“เปล่า” ผมปฏิเสธ “คิดอะไรนิดหน่อย”

“คนอย่างนายนี่มีเรื่องให้กังวลใจอะไรนักหนา”

ผมกลอกตา “มีแล้วกันน่า”

ผมกวาดสายตามองโบสถ์อันคุ้นเคย เปียโนหลังใหญ่สีดำที่แม่ยังคงพรมนิ้วลงเป็นทำนองเพลงอันไพเราะ คลอไปกับเสียงของวงประสานเสียง นึกถึงสมัยก่อนที่แม่อยากให้ผมเข้าวงประสานเสียงสักครั้ง แต่ผมก็หันไปเอาดีด้านกีฬาแทน ไม่นึกเลยว่าตอนหลังตัวผมเองจะกลายมาเป็นคนทำเพลง

จำได้เลยล่ะ รอยยิ้มของพ่อกับแม่ตอนที่ผมได้รางวัลน่ะ

ไม่นานนักมิสซาก็เสร็จสิ้น ผมปลีกตัวจากแอนดรูว์และครอบครัวออกมานั่งใกล้ ๆ แท่นพิธีเพียงลำพัง หลังจากมิสซามักมีกิจกรรมร่วมกันของคนในชุมชน กินอาหาร่วมกันบ้าง เล่นดนตรี สอนพระคัมภีร์ สอนภาษา แล้วแต่ว่าจะมีกิจกรรมอะไร ปกติผมจะไปเล่นบาสเกตบอลกับพวกเพื่อนแล้วก็เรียนภาษา แต่วันนี้ขอยกเว้นไว้ให้ผมได้นั่งเงียบ ๆ สักหน่อยเถอะ

นั่งได้ครู่หนึ่งผมก็ลุกขึ้นเดินไปที่เปียโนหลังใหญ่นั่น ผมกดลิ่มเปียโนเบา ๆ เสียงของมันค่อนข้างกังวาน ถึงแม้ผมจะเล่นเปียโนไม่ค่อยได้เรื่อง แต่มีเพลงหนึ่งที่แจ็คสันเคยสอนผมเล่น แถมจินยอง ยองแจ กับแบมแบมก็คอยเชียร์ให้ผมซ้อมจนเล่นพอได้อยู่

ผมนั่งลงตรงเก้าอี้หน้าเปียโน วางมือลงตามแป้นแล้วค่อย ๆ กดทีละลิ่มด้วยจังหวะที่ช้าเสียยิ่งกว่าช้า ผมค่อย ๆ กดเล่นอินโทรของเพลงอย่างใจเย็น ปล่อยความคิดตัวเองไปกับความทรงจำที่ชัดยิ่งกว่าความฝันใด ๆ

 

예쁜 목걸일 사주고 싶지만

เยปึน มกกอลรี ซาจูโก ชิพจีมัน

ถึงแม้ว่าผมจะอยากซื้อสร้อยสวย ๆ ให้คุณใส่ซักเส้น

 

멋진 차를 태워주고 싶지만

มอซจิน ชารึล แทวอจูโก ชิพจีมัน

ถึงแม้ว่าผมจะอยากขับรถเท่ ๆ พาคุณไปเที่ยว

 

ผมร้องคลอตามเบา ๆ แล้วก็หวนนึกถึงคนที่ชอบร้องเพลงนี้บ่อย ๆ

ถ้าตอนนี้ผมได้ฟังเสียงของเขาอีกสักครั้งก็คงดี ผมหวังอย่างนั้นจริง ๆ

 

พอตกบ่ายครอบครัวผมก็พากันกลับมาบ้าน จริง ๆ แล้วมีผมคนเดียวนี่แหละที่อยากกลับมา คนอื่นบอกว่าจะไปช็อปปิ้งมอลล์ใกล้ ๆ ต่อ แต่ผมปฏิเสธแล้วบอกว่าวันนี้ไม่ค่อยสบาย แม้จะไม่ค่อยชอบใจนักที่ต้องโกหกพ่อกับแม่ แต่ตอนนี้ผมอยากอยู่คนเดียวจริง ๆ

ผมกลับมาถึงบ้าน ตรงเข้าไปที่ห้องของตัวเองอย่างแรก ของหลาย ๆ อย่างยังคล้ายในความทรงจำที่ผมแทบจะลืมไปแล้ว รูปถ่ายที่ผมถ่ายกับเพื่อน มีบางรูปที่ผมไม่คุ้น คิดว่าคงเพิ่งถ่ายเมื่อต้นปี ซึ่งในความเป็นจริงผมไม่ควรจะอยู่ที่เกาหลีแล้ว

แล้ว… ทำไมผมถึงไม่ได้อยู่ที่เกาหลีล่ะ

พอคิดถึงตรงนี้ผมก็นั่งลงหน้าคอมพิวเตอร์ของตัวเอง เปิดมันขึ้นมา ระหว่างรอเครื่องทำงานก็ครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ต่าง ๆ ถึงผมจะไม่ได้ฉลาดหลักแหลมนักอย่างจินยอง แต่ก็ไม่ได้ซื่อบื้ออะไรขนาดนั้น

บางทีนี่อาจเป็นความฝัน

ผมลองหยิกตัวเอง แน่นอนว่าเจ็บจนต้องนิ่วหน้า ใครมันบอกว่าถ้าหยิกแล้วไม่เจ็บคือความฝันวะ มันเชื่อถือได้สักแค่ไหนกันเชียว

พอคอมพิวเตอร์พร้อมใช้งาน ผมก็ค่อย ๆ หาข้อมูลทีละอย่างอีกครั้ง

ยังมีค่ายที่ผมฝึกตั้งอยู่บนถนนเส้นเดิม กลุ่มศิลปินรุ่นพี่ที่เดบิวต์ไปก่อนหน้าผมก็ยังคงปกติดีทุกอย่าง ไม่มีอะไรตรงนั้นเปลี่ยนไปเลย

แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงล่ะ

ก็ผมนี่ไง ความผิดปกติใหญ่หลวงอย่างหนึ่งของโลกตอนนี้เนี่ย

ผมลองหาข้อมูลไปเรื่อย ๆ ลองเสิร์ชชื่อแต่ละคนที่ผมรู้จักลงไป มีข้อมูลขึ้นมาให้เห็นหลายคน บางคนก็ไม่เหมือนไม่เคยมีตัวตนในโลกเลย –หมายความว่ายังไง

คราวนี้ผมลองเสิร์ชหาข้อมูลการออดิชั่นของค่ายเพลง ล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อน ก็คือช่วงที่ผมควรจะเข้าร่วมด้วยและผ่านเข้าไปเป็นเด็กฝึกหัด

ผมลุกจากเก้าอี้ เปิดตู้เก็บของของตัวเอง ปกติผมจะเก็บของสำคัญไว้ในกล่องที่แม่เคยให้มาตอนอายุสิบสอง แน่นอนว่าตอนสมัครออดิชั่นและผ่านเข้ารอบผมก็เก็บเอกสารทั้งหมดไว้ในนั้น

ผมแทบจะเทกล่องออกมา แล้วก็พบความผิดปกติใหญ่หลวง

ไม่มีใบสมัครอะไรทั้งนั้นในกล่องของผม

 

“วันออดิชั่น?” แทมมี่เลิกคิ้ว ยกน้ำหวานในมือขึ้นจิบ “หมายถึงที่เมื่อสักสองปีที่แล้ว ที่นายไปเต้นแร้งเต้นกาบนโต๊ะแล้วก็มาเล่าว่ามีคนของค่ายเพลงมาขอให้ไปออดิชั่นน่ะเหรอ”

แม้จะอับอายกับการกระทำของตัวเองตอนนั้น แต่ ณ วินาทีนี้ก็รู้สึกขอบคุณมาก ๆ ผมทำเป็นไม่ได้ยินแล้วจับแค่ใจความสำคัญ ขอบคุณพระเจ้าที่เรื่องนี้ยังเป็นจริงอยู่

“ใช่ ฉันไม่ได้ไปออดิชั่นเหรอ”

“เปล่า” แทมมี่ตอบเสียงเรียบ “นายจะไปได้ยังไง วันนั้นนายไม่สบาย”

“ฮะ?”

อันนี้เป็นข้อมูลใหม่ ผมงงไปชั่วขณะ “…ไม่สบาย?”

“อืม” พี่สาวคนน้ำหวานในแก้วตัวเอง เดินออกจากห้องครัวมานั่งที่ห้องอาหาร ผมลากเก้าอี้ข้าง ๆ ออกมานั่งด้วย ขณะที่หล่อนทำท่าครุ่นคิด “คืนนั้นนายกับโจอี้ออกไปข้างนอกกัน แล้วฝนตกหนักมาก พวกนายสองคนตากฝนจนตัวโชก กลับมาถึงบ้านก็เป็นไข้กันทั้งคู่ ไข้สูงจนน่ากลัวด้วย ฉันกับแม่นี่วิ่งเข้า ๆ ออก ๆ เครียดกันจะตาย”

“อ๋อ…”

เพราะงี้นี่เอง จากตรงนั้นเลยเกิดความเป็นไปได้แบบใหม่ที่ผมคาดไม่ถึงเต็มไปหมด

“แล้วนี่นึกยังไงมาถาม นายจำไม่ได้เหรอ”

“ไม่มีอะไร” ผมบอกปัด “เอ่อ แทมมี่ แล้วไค…”

ผมชะงัก

จริงสิ ในปีนี้พี่สาวของผมยังไม่ได้แต่งงานเลย ไคลี่กับไลลาจะอยู่ได้ยังไง คิดแล้วก็วูบโหวงในใจแปลก ๆ

แทมมี่คงเห็นว่าผมเว้นช่วงไปนานจึงขมวดคิ้วถามกลับ “อะไร”

“เปล่า” ผมทำหน้าเหมือนเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น “แล้วแฟนพี่…”

“แฟนเฟินอะไร เลิกกันแล้ว”

ผมผงะ แทมมี่ชักสีหน้า ก่อนจะทำท่าเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว “โทษที พอดีช่วงนี้ทะเลาะกันบ่อยน่ะ เลยห่าง ๆ กัน”

“…เหรอ”

ผมหัวเราะแห้ง ๆ ภาวนาให้สองคนกลับมาคืนกันเร็ว ๆ

ถึงยังไงผมก็ยังอยากให้ไคลี่กับไลลามีตัวตนขึ้นมาจริง ๆ บนโลกใบนี้นะ

 

ผมหมดวันไปกับการรื้อห้องตัวเองเพื่อตามหาเรื่องราวในปัจจุบัน สลับกับค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตเพื่อประกอบชิ้นส่วนความจริงแต่ละอย่างที่ได้มาให้ตรงกัน และได้ข้อสรุปดังนี้

ตัวผมในตอนนี้อายุ 18 ปี เพิ่งจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมไปเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง ขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงตัดสินใจว่าจะเรียนต่อดีไหม เท่าที่ผมค้นในห้องแล้ว ไม่พบเอกสารเรียนต่อ ดังนั้นผมจึงสรุปโดยใช้นิสัยตัวเองเป็นพื้นฐานว่า ปีนี้ผมคงตั้งใจจะ Gap year หาตัวเองสักปี

ตอนเย็นโจอี้เข้ามาตามผมไปกินข้าว อาหารวันนี้เป็นอาหารเม็กซิกันรสชาติจัดจ้านที่เป็นที่โปรดปรานของพวกผม แต่กับพ่อกับแม่ผมกินอาหารจืด ๆ ตามสไตล์คนรักสุขภาพ ผมโดนพ่อแม่ซักนิดหน่อยเรื่องท่าทางแปลก ๆ แต่ก็ทำเพียงยิ้มบาง ๆ ตอบไปแล้วบอกว่าดีขึ้นแล้ว

ผมช่วยโจอี้เก็บจานชามเข้าที่ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยกับพ่อแม่

“…เดี๋ยวผมออกไปเดินเล่นที่สวนนะ”

แม่มองนาฬิกา มันบอกว่าสองทุ่มกว่า “ตอนนี้?”

“อืม” ผมรับคำ “เดี๋ยวผมกลับมา ไม่เกินเที่ยงคืน”

แม่ไม่ได้ว่าอะไรต่อ แม้จะท่าทางเป็นห่วง แทมมี่ถามผมอีกครั้งว่าจะไปคนเดียวเหรอ แต่ผมก็ยังยืนยันจะไปคนเดียว

เมื่อก้าวออกมานอกบ้าน ท้องฟ้าเป็นสีเข้ม แต่ปลอดโปร่ง

ผมนึกอยากให้ฝนตกขึ้นมาจัง

 

ผมออกจากบ้านมาพร้อมกับร่มหนึ่งคัน โทรศัพท์ และกระเป๋าเงินที่มีเงินจำนวนนิดหน่อย เดินออกมาจากบ้านผมไม่ไกลนักมีสวนสาธารณะและร้านมินิมาร์ตเล็ก ๆ ผมตั้งใจว่าจะนั่งเล่นที่นี่พักหนึ่งค่อยกลับบ้าน

วันนี้… ถ้าตอนนี้ผมอยู่ที่เกาหลี คงเพิ่งเลิกซ้อมล่ะมั้ง

ผมลองขยับตัวตามที่ตัวเองฝึกฝนมา มันยังทำได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ อาจจะขัดนิดหน่อยเพราะร่างกายนี้ไม่ได้ผ่านการฝึกฝนมาแบบจิตสำนึกของผม แต่รู้สึกว่าถ้าซ้อมทุกวันคงไม่ต่างกับตัวเองตอนก่อนเดบิวต์นัก

ผมแทบจะเดินรอบสวน จนกระทั่งกลับมาที่หน้ามินิมาร์ตอีกครั้ง

ผมชะงักฝีเท้า รู้สึกเหมือนตัวเองตาฝาด

ม้านั่งตรงหน้ามินิมาร์ตมีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ เขาสวมฮู้ดสีดำและกางเกงขายาวสีเดียวกัน นั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลายอยู่ตรงนั้น

แสงจากไฟข้างทางที่ส่องมาทำให้ผมเห็นใบหน้าของเขาชัดเจน ราวกับตอกย้ำว่า นี่ไม่ใช่ความฝัน

เพราะถ้าผมจำไม่ผิด– ผมไม่มีทางจำผิดหรอก คนตรงหน้าผม… คือแจ็คสัน หวัง

 

 

If – Prologue

บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย, Y, BL
หากไม่ชอบกรุณากดปิด

บทความนี้เป็นเพียงเรื่องแต่งซึ่งเกิดจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล เหตุการณ์ หรือสถานที่จริงใด ๆ ทั้งสิ้น

Rating: PG
Category: M/M
Fandom: GOT7
Relationships: Jackson Wang/Mark Tuan

If

Prologue

บทนำ

 

 

ตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมา วันที่ 16 มกราคมก็กลายเป็นวันพิเศษของมาร์ค ต้วน

จริง ๆ แล้วจะเรียกว่าเป็นวันพิเศษของเขาคนเดียวคงไม่ได้ มาร์ครู้ว่าวันนี้มีความหมายกับใครหลาย ๆ คน มันเป็นวันแห่งจุดเริ่มต้นอะไรหลาย ๆ อย่าง และเป็นวันที่ทำให้ชื่อ มาร์ค เป็นที่ประจักษ์แก่สายโลก

ในฐานะสมาชิกของวงไอดอลน้องใหม่ GOT7

วันที่ 16 มกราคม 2014 คือวันที่ GOT7 ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ แต่พวกเขาทั้งเจ็ดคนรู้จักกันมานานกว่านั้น ผูกพันกันด้วยการซ้อมและผ่านอะไรมาด้วยกันมากมาย กระทั่งรู้สึกตัวอีกที นี่ก็ครบห้าปีของ GOT7 แล้ว

เวลาผ่านไปเร็วราวกับเพียงชั่วพริบตา

แต่ก็เป็นช่วงเวลาห้าปีที่อัดแน่นไปด้วยเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย ทั้งเสียงหัวเราะแห่งความสุขและน้ำตาแห่งความโศกเศร้า การมาถึงจุดนี้นับได้ว่าเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของทุกคนไปมาก แม้ตอนนี้พวกเขาทั้งเจ็ดจะนั่งพร้อมหน้ากันอยู่หน้ากล้องกำลังถ่ายทอดสดรายการผ่านทางแอปพลิเคชั่นยอดนิยมของเกาหลี ในความรู้สึกของมาร์คก็ยังคิดว่าเรื่องนี้เป็นเพียงความฝัน

ห้าปีเลยนะ

ห้าปีแล้วที่พวกเขาเดินมาด้วยกัน

“ขอบคุณอากาเซทุกคนสำหรับช่วงเวลาอันมีค่าที่พวกเราได้ผ่านมาด้วยกัน” เจบีหัวหน้าวงพูดด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณมากจริง ๆ พวกเราคงไม่มีวันนี้ถ้าไม่มีนกน้อยของพวกเรา”

“หวังว่าพวกเราจะยังเดินด้วยกันต่อไปเรื่อย ๆ นะครับ” จินยองว่าต่อ แล้วยื่นมือมาไว้ข้างหน้าเป็นเชิงให้ทุกคนวางมือลงไปพร้อมกัน

“จนกว่าจะถึงวันสุดท้ายของ GOT7” แบมแบมเป็นคนเอ่ยปิดท้าย

“ก่อนจากกัน มาถึง GOT7 Jjai!! ด้วยกันนะ”

“สาม สอง หนึ่ง… GOT7 Jjai!!!!!!”

กล้องปิดไปแล้ว พร้อมกับเสียงปรบมือจากทุกคนในสตูดิโอ พวกเขาเจ็ดคนยืนกอดกันเป็นวงกลม มือยังคงจับกันอยู่ราวกับกลัวว่าใครสักคนจะหลุดหายไป

ไม่นานก็ถึงเวลาแยกย้ายกัน ยองแจกลับบ้านไปพร้อมกับน้ำตาที่ยังคลออยู่บนหน้า จนพวกเขาต้องทยอยกันเข้าไปปลอบแล้วรีบ ๆ บอกให้กลับเพราะดึกมากแล้ว ส่วนพวกที่เหลือก็มุ่งหน้ากลับไปที่หอพัก

ตลอดทาง มาร์คจ้องมองคนพูดมากที่วันนี้เงียบเป็นพิเศษ ไม่แปลกใจนัก แจ็คสัน หวัง เพิ่งกลับมาจากจีนเมื่อเช้า พอมาถึงก็นอนยาว ตื่นมาซ้อมแล้วก็ถ่ายทอดสดกันเมื่อกี้

“เหนื่อยไหม”

เขาถามเสียงเบา แจ็คสันยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มน้อย ๆ ที่สื่อว่าไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากพัก

“เดี๋ยวกลับถึงบ้านก็ได้นอนแล้ว”

“มาร์คก็เหมือนกัน” ว่าแล้วก็ชี้มาที่ตาของเขา “ตาจะปิดแล้ว ง่วงใช่ไหม”

เขาหัวเราะ ไม่ปฏิเสธว่าถ้าตอนนี้หัวถึงหมอนก็คงหลับไปเลย

พวกเขาใช้เวลาบนถนนไม่นานก็มาถึงหอพัก–หรือที่พวกเขาสนิทใจจะเรียกว่าบ้านมากกว่า ทุกคนแยกย้ายกันเข้าห้อง ก่อนจากกันยังไม่วายกอดกันไปมาเหมือนพรุ่งนี้โลกจะแตกอย่างนั้นแหละ

“รีบนอนนะ พรุ่งนี้มีงานอีก อย่าลืม” จินยองเอ่ยเสียงเข้มงวด ไม่ว่าผ่านไปกี่ปีก็เป็นแบบนี้เสมอ

“รับทราบ!” สองมักเน่ทำท่าตะเบ๊ะเหมือนทหาร ก่อนจะพากันกลับเข้าห้องไป

มาร์คยืนมองแจ็คสันอยู่จากประตูของตัวเอง ก่อนจะเป็นฝ่ายรวบรวมความกล้าพูดเหมือนทุกครั้ง

“แจ็ค”

เขาเรียก อีกคนหันหน้าง่วงงุนมาหา

“คืนนี้นอนด้วยสิ”

เขาเห็นแจ็คสันพยักหน้ารับ

 

ครั้งสุดท้ายที่มาร์คเข้ามาห้องแจ็คสันคือเมื่อไหร่เขาก็ไม่แน่ใจ ช่วงหลังมานี้แจ็คสันเดินหน้าลุยงานเดี่ยวในจีนจนแทบไม่ได้อยู่เกาหลีเลย ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังพูดคุยติดต่อกันตลอด พอมีกิจกรรมโปรโมตวงก็จะเวียนมาเจอกันอีกครั้ง แล้วแจ็คสันก็บินไปจีนอีก เป็นแบบนี้จนจากตอนแรกที่รู้สึกเหงา ๆ ก็ชินเสียแล้ว

ห้องของแจ็คสันก็ยังเหมือนเดิม แทบไม่มีอะไรเพิ่มขึ้น แต่เหมือนจะมีของลดลง เสื้อผ้าแจ็คสันเอาไปไว้ที่จีนเยอะเหมือนกัน เพราะสะดวกกว่า พอเข้ามาแล้วบางทีก็รู้สึกว่าราวกับว่าห้องนี้ไม่เคยมีคนอยู่มาก่อน

“ห้องนี้มันจะโล่งเกินไปแล้วนะ” เขาแซ็ว แจ็คสันหัวเราะ ท่าทางดูเพลีย

“ก็ไม่ค่อยได้อยู่นี่นา”

“ฉันเอาของตัวเองมาไว้นี่บ้างดีไหม”

“ตามใจนายสิ มานอนห้องนี้ก็ได้นะ”

เขาหันไปมองหน้าคนพูด

“อย่างน้อยตอนกลับมานอนฉันจะได้รู้สึกว่ามันเป็นห้องนอนที่มีคนนอนอยู่จริง ๆ ไม่ใช่ห้องเก็บของน่ะ”

ประโยคนั้นทำให้มาร์คถอนหายใจเบา ๆ

“รีบนอนเถอะ”

เขารับคำในคอ วางหมอนลงข้าง ๆ กันแล้วล้มตัวลงนอน

ในความมืด มาร์คสบสายตากับแจ็คสัน แม้จะท่าทางง่วงงุนมาตลอดแต่พอมานอนด้วยกันกลับไม่มีใครหลับตาสักที

“ไม่นอนเหรอ” เขาถาม

“นอนไม่หลับ” แจ็คสันตอบ

“เพราะฉันเหรอ”

“ไม่ใช่หรอก ไม่รู้สิ” แจ็คสันยื่นมือมาลูบผมหน้าม้าเขาเบา ๆ “แค่รู้สึกว่านานแล้วที่ไม่ได้มองหน้านายชัด ๆ แบบนี้”

มาร์คยิ้มที่มุมปาก ไม่รู้ว่าตัวเองควรรู้สึกยังไงกับคำพูดเมื่อครู่

“…ห้าปีนี่ผ่านไปเร็วจังนะ”

“อืม”

“หลัง ๆ มานี่เราแทบไม่เจอกันเลย”

“อืม”

“แต่ทุกครั้งที่เจอกันฉันก็ดีใจมากเลย”

“เหมือนกัน”

“มาร์ค”

เสียงเรียกชื่อนั้นอยู่ใกล้เหลือเกิน มาร์คหลุบตาลง เขารู้สึกได้ถึงลมหายใจแผ่วเบาที่กระทบอยู่ตรงหน้าผาก

“ฉันไม่ได้ฝันใช่ไหม”

“อืม นายไม่ได้ฝัน”

“นี่คือเรื่องจริงใช่ไหม”

“ใช่” เขาคว้ามือแจ็คสันข้างหนึ่งขึ้นมา ยกมันมากุมไว้ด้วยมือทั้งสองข้างแล้วสอดประสานนิ้วเข้าไป “มันคือเรื่องจริง ฉันอยู่ตรงหน้านายตอนนี้ เราอยู่กันครบเจ็ดคน ครบห้าปีแล้วนะ”

“ดีจังเลยนะ”

พูดจบ มาร์คก็สัมผัสได้ถึงสัมผัสนุ่มหยุ่นที่หน้าผากตัวเอง ก่อนที่จะได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอเป็นสัญญาณว่าแจ็คสันหลับไปแล้ว

เขาซุกศีรษะกับช่วงไหล่ของอีกคน ก่อนจะวาดมือไปกอดเอวอีกฝ่ายไว้แล้วหลับตา

แม้เรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้จะเหมือนกับกำลังล่องลอยอยู่ในความฝัน แต่มันก็คือเรื่องจริง

หรืออย่างน้อยหากมันเป็นความฝัน มาร์คก็หวังว่าตนจะไม่ตื่นขึ้นมาพบความจริงอันโหดร้ายอีกเลย

นั่นคือสิ่งที่เขาปรารถนา

 

“มาร์ค!! มาร์ค! ตื่นได้แล้ว!!!”

เสียงแหลมอันเป็นเอกลักษณ์ของหนึ่งในสองลูกสาวบ้านต้วนทำเอาเจ้าของชื่อที่โดนตะโกนปลุกนิ่วหน้า ยกหมอนขึ้นมาปิดหูด้วยความรำคาญ มาร์คพลิกตัวหนีเสียงดังอึกทึกด้านนอก ซ้ำยังเอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงตัดขาดตัวเองจากโลกภายนอก

สงบสุขได้ไม่ถึงนาที ผ้าห่มก็โดนกระชากออกพร้อมกับเตียงที่ขย่มอย่างแรงจนเขาตาสว่าง

“โอ๊ยยย อะไรเนี่ยยยย”

มาร์คโอดครวญ ซุกหน้ากับหมอนอีกรอบไม่อยากรับความจริง เขาเห็นจากหางตาว่าโจอี้กระโดดขึ้นมานั่งบนเตียงเขา ส่วนแทมมี่ยืนถือผ้าห่มเขาอยู่

ไม่ต้องสืบเลยว่าใครดึงผ้าห่มเขาไป

“ตื่นได้แล้ว จะนอนไปถึงกี่โมงกี่ยาม”

“ฮื่อ…” เขาโอดครวญ “ขอนอนอีกหน่อย เมื่อคืนนอนดึก”

“นอนดึก? ทำอะไร นายหลับก่อนฉันอีกนะ” แทมมี่บ่น

“เมื่อคืนก็ถ่าย…”

เอ๊ะ

มาร์คเงียบไป อึดใจหนึ่งขณะที่เขากำลังคิดว่าเมื่อคืนตนเองทำอะไรถึงนอนดึก จู่ ๆ มาร์คก็ตระหนักขึ้นมาถึงความผิดปกติ

ความรู้สึกชาวาบแล่นจากปลายเท้าขึ้นมา มาร์คดึงหมอนออกไม่ให้บังตัวเองแล้วผุดลุกขึ้นนั่ง เขากวาดสายตามองรอบห้อง เห็นแทมมี่กับโจอี้จ้องเขาอยู่

มาร์คยกมือขึ้นหยิกแขนตัวเองข้างหนึ่ง

“โอ๊ย”

แน่นอนว่าเจ็บเหมือนเนื้อจะหลุดติดออกมา

“…ทำอะไรอะ” โจอี้หรี่ตา “ละเมอเหรอ”

“ไม่ใช่” มาร์ครีบปฏิเสธ เขามองหานาฬิกาตรงหัวเตียง มันบอกว่าเวลาจวนจะเก้าโมงครึ่งแล้ว แต่ไม่มีปฏิทินแถวนี้เลย

“วันนี้วันที่เท่าไหร่”

“หา?”

แม้โจอี้จะยังงงอยู่ แต่แทมมี่ตอบกลับทันที

“วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม ปี 2011”

อะไรนะ

มาร์ครู้สึกเหมือนโดนตีแสกหน้าอย่างจัง เขาหันไปมองหน้าพี่สาวแท้ ๆ ของตนอย่างไม่อยากเชื่อ

“…แล้วที่นี่… คือแอลเอ…ใช่ไหม”

“ใช่สิ จะที่ไหนล่ะ” โจอี้ขมวดคิ้ว “เป็นอะไรหรือเปล่า นายหน้าซีด ๆ”

มาร์คยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเลื่อนมือไปวางทาบที่อกซ้ายของตัวเอง สัมผัสได้ถึงจังหวะหัวใจที่เต้นรัวเหมือนไปวิ่งมาหลายรอบ มันไม่ใช่เพราะความเหนื่อยอะไรเลย แต่เป็นความหวาดหวั่น

อย่างน้อยหากมันเป็นความฝัน มาร์คก็หวังว่าตนจะไม่ตื่นขึ้นมาพบความจริงอันโหดร้ายอีกเลย

เพราะถ้าความเป็นจริงจะโหดร้ายกับเขาขนาดนี้ มาร์คยินดีไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลยตลอดกาล

 

#wirunfic – Take A Break (Jackson/Mark)

บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย, Y, BL
หากไม่ชอบกรุณากดปิด

บทความนี้เป็นเพียงเรื่องแต่งซึ่งเกิดจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล เหตุการณ์ หรือสถานที่จริงใด ๆ ทั้งสิ้น

Rating: PG
Category: M/M
Fandom: GOT7
Relationships: Jackson Wang/Mark Tuan


 

Take A Break

Wirunyupha

 

나 가끔 놀래 Woh 넌 너무 예뻐서

네가 폰을 볼때 난 너만 보고 있어

특히 집중할 때 깨무는

네 입술 Woh Think I’m in a heaven

บางทีฉันก็อดตกตะลึงกับความน่ารักของเธอไม่ได้

ตอนที่เธอจ้องมองโทรศัพท์ ฉันก็กำลังมองเธออยู่

โดยเฉพาะเมื่อเธอเอาแต่จดจ่ออยู่กับมันจนกัดริมฝีปาก

ให้ตายเถอะ นึกว่าฉันอยู่บนสวรรค์เสียอีก

– Q, GOT7

จำไม่ได้แล้วว่าครั้งล่าสุดที่ได้พักผ่อนอย่างจริงจังคือเมื่อไหร่

แจ็คสัน หวัง เพิ่งมีเวลามาครุ่นคิดว่า ในช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมานี้ เขาทำงานหนักเอาเรื่อง แม้จะเป็นตารางงานที่เต็มใจทำเพื่อวงและเพื่อตัวเอง แต่ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาก็ทำให้หลายครั้งที่อยากนอนอยู่เฉย ๆ สักสิบชั่วโมง ไม่ก็ตื่นมาอีกทีในบ่ายของวันถัดมาเลย

และเหมือนครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี

ตั้งแต่เด็ก ๆ แจ็คสันเคยมาประเทศไทยอยู่หลายครั้ง มาเที่ยวบ้าง มาแข่งฟันดาบบ้าง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มาภูเก็ต แม้จะเสียดายที่ไม่ได้มากับพ่อแม่ แต่การได้มาพักผ่อนในสถานที่สวย ๆ แบบนี้ก็เหมือนเป็นของขวัญตอบแทนการทำงานหนักตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาเลย

ยิ่งพอตื่นมาแล้วเจอคนที่นอนข้าง ๆ ยิ่งรู้สึกว่าชีวิตช่วงนี้ดีเสียจริง ๆ

“ตื่นแล้วเหรอ”

คนที่นอนข้าง ๆ ที่เขาเพิ่งนึกถึงเหลือบสายตามามอง พอเห็นเขานอนจ้องตัวเองอยู่ก็เบนสายตากลับไปจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์มือถือเหมือนเดิม

“ทำอะไรอยู่เหรอ มาร์ค”

เขาถาม ทั้งที่ไม่ได้สนใจโทรศัพท์หรอก แต่สนใจเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนเพิ่งตื่นนอนก่อนเขาไม่นานต่างหาก ผมหน้าม้าที่โดนเสยขึ้นไปปรกลงมาระหน้าผากมนบาง เห็นแพขนตายาวเรียงเป็นเส้นสวยและสันจมูกเรียว ผิวแก้วใสเป็นสีแดงเรื่อนิด ๆ เพราะอากาศที่ค่อนข้างร้อนของพื้นที่หมู่เกาะตอนนี้ แม้จะมีลมทะเลข้างนอกพัดมาเป็นครั้งคราว แต่คนที่ผิวขึ้นสีง่ายก็ยังคงเป็นคนที่อะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ตัวแดงแล้ว

มาร์คไม่ตอบเขา เพราะเอาแต่จดจ่ออยู่กับคลิปวิดีโอในมือถือ เขาพอรู้ว่าน่าจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าแคสต์เกม เห็นมาสักพักแล้วว่ามาร์คกับยองแจติดเกม แต่นี่ก็เล่นสนใจแต่มือถือไม่สนใจเขาเลย… ไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือไง

ยิ่งเห็นอีกฝ่ายเผลอกัดริมฝีปากเพราะลุ้นกับคลิปตรงหน้ามากไปยิ่งหมั่นไส้

อยากจูบชะมัด

“…ทำอะไร”

มาร์คงึมงำเมื่อเขายื่นหน้าไปงับริมฝีปากล่างเบา ๆ

“ก็กัดปากทำไมล่ะ”

“ฉันกัดปากเหรอ ไม่รู้ตัวอะ”

“เวลาจริงจังก็ทำงี้ตลอด น่าจูบนะ รู้ไหม”

มาร์คยื่นมือมาจิ้มหน้าผากเขาให้ถอยออกหน่อย “แต่ก็ไม่ใช่ว่านึกจะจูบก็จูบได้ เพราะอยู่ด้วยกันสองคนหรอกนะฉันถึงไม่ว่าอะไร”

“ปกติประโยคนั้นต้องเป็นฉันที่พูดไม่ใช่หรือไง”

มาร์คยักไหล่ไม่ยอมรับ แล้วหันกลับไปสนใจมือถือต่อ

เห็นดังนั้นแจ็คสันจึงเอื้อมไปหยิบมือถือของตัวเองบ้าง เขาเปิดเช็กคาทกกลุ่ม เห็นว่าแบมแบมออกไปข้างนอกกับที่บ้าน คนอื่นก็ดูมีกิจกรรมกัน จะว่าไปนี่ก็บ่ายแล้วแต่เขาเพิ่งตื่น ถ้าบอกว่าไม่หิวก็คงโกหก

“มาร์ค”

เขาลองเรียก ได้ยินอีกฝ่ายตอบกลับมาในคอ “ว่า?”

“หิวไหม ไปหาอะไรกินกันไหม”

เขาได้ยินเสียงมาร์คถอนหายใจ พอหันไปมองก็เห็นอีกฝ่ายทำหน้ามุ่ย ๆ

“หิว แต่ไม่อยากออกไปจากห้อง”

มองคนที่ซุกตัวเป็นก้อนอยู่ในผ้าห่มแล้วแจ็คสันก็นึกขำ

“งั้นสั่งรูมเซอร์วิสมากินกันไหม”

“สั่งมาเลย! I’m starving.”

“So why don’t you order some food before I wake up, huh?”

เขาแกล้งถามกลับไป มาร์คยู่หน้าแล้วหนีกลับเข้าไปในผ้าห่ม ทำเอาเขาอดยื่นมือไปขยี้กลุ่มผมที่โผล่พ้นออกมาจากผืนผ้าสีขาวนั่นไม่ได้

แจ็คสันเข้าไปล้างหน้าแปรงฟัน จากนั้นเดินออกมาใช้โทรศัพท์ภายในสั่งรูมเซอร์วิสให้ส่งอาหารอร่อย ๆ มาถวายเจ้าหญิงของเขาที่ยังนอนกลิ้งอยู่บนเตียง ระหว่างนั้นก็ถือโอกาสเปิดมือถือเช็กอย่างอื่นต่อจากเมื่อกี้ด้วย เขาเห็นว่าเพื่อนเก่าอยู่ที่ภูเก็ตพอดี และมาร์คก็อัปไอจีรูปวิวจากห้องนอนไปตะกี้

ลมเย็น ๆ พัดเข้าหน้า พอแจ็คสันเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นทิวทัศน์ที่อดไม่ได้ต้องบันทึกภาพอวดชาวโลกสักครั้ง หลังจากอัปโหลดภาพไปเขาก็เดินกลับเข้ามาในห้องนอน แต่มาร์คไม่อยู่แล้ว

เดินหาอยู่ครู่เดียวก็เห็นอีกฝ่ายย้ายร่างมาอยู่ห้องนั่งเล่นด้านในแล้ว ภาพมาร์คหัวยุ่ง ๆ สวมแค่เสื้อยืดย้วย ๆ และกางเกงขาสั้นเป็นภาพชินตาสำหรับเขาตั้งแต่เรารู้จักกันวันแรก ๆ ถึงวันนี้ก็ยังไม่เปลี่ยน

“ไม่ไปอาบน้ำอาบท่าก่อนล่ะ ร้อนจะตาย ไม่เหนียวตัวเหรอ”

พอเขาถาม มาร์คก็ยื่นแขนสองข้างมาข้างหน้า

แจ็คสันยื่นไปจับอย่างงง ๆ แล้วมาร์คก็พูดขึ้นมาว่า “ไปเล่นน้ำด้วยกัน จะได้อาบน้ำทีเดียว”

“อยากเล่นน้ำเหรอ”

“อืม”

“จะเล่นทุกสระของทุกโรงแรมเลยหรือไง”

“แล้วมันผิดหรือไงล่ะ”

มาร์คทำหน้าเหมือนงอน ซึ่งเป็นสิ่งที่แจ็คสันเห็นจนชินอีกเหมือนกัน เลยรู้ดีว่าควรต้องทำตัวยังไง เขาลงไปนั่งข้าง ๆ คนอายุมากกว่าแล้วกอดเอวบางเป็นเชิงหยอก

“ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย แต่กินข้าวก่อนค่อยเล่นนะ”

“ก็ได้”

บางทีก็อดรู้สึกเหมือนกำลังเลี้ยงเด็กไม่ได้

ไม่นานรูมเซอร์วิสก็มาส่งถึงห้อง แจ็คสันเป็นคนออกไปรับแล้วบอกพนักงานว่าจะจัดการเอง ขณะที่มาร์ครอตั้งโต๊ะให้ มื้อแรกของวันของพวกเขาเริ่มต้นตอนบ่ายสองนิด ๆ เป็นวันที่เรื่อยเปื่อยอย่างไม่น่าเชื่อ

“ไม่ออกไปไหนหรือไง”

เขาถามมาร์ค มาร์คมองหน้าเขาแล้วถามกลับ “แล้วนายล่ะ?”

“แล้วนายไม่ออกไปกับพวกแอนดี้เหรอ”

“ไม่ล่ะ ไม่ใช่ตอนนี้” พูดจบก็ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม แล้ววางลง แจ็คสันนึกว่าบทสนทนาจะจบแล้ว แต่เปล่า

“อยากอยู่กับนายมากกว่า”

“…”

ไม่รู้ควรทำหน้ายังไงดี นอกจากทำเป็นมองไปทางทะเล

บางที ไม่สิ หลายทีเลยล่ะ ที่มาร์คจะพูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาอย่างตรงไปตรงมา และบางทีก็ตรงเกินไป บางสถานการณ์ก็สร้างเดดแอร์ได้ง่าย ๆ บางสถานการณ์อาจทำให้อะไร ๆ ตลกขึ้น แต่สถานการณ์อย่างที่แจ็คสันเผชิญอยู่นี้คือ ฟังแล้วเขินชะมัด

“อย่าเงียบสิ ฉันพูดอะไรผิดเหรอ”

แล้วก็ท่าทางกังวลอย่างจริงจังนั่นอีก ไม่เลย ไม่มีอะไรผิดสักนิด

“ฉันก็แค่เขินเท่านั้นแหละ ไม่เห็นหรือไงว่ายิ้มจนปากจะฉีกอยู่แล้ว”

มาร์คหัวเราะเบา ๆ

หลังจากจัดการกับอาหารเรียบร้อยพวกเขาก็ออกมานั่งดูทะเลข้างนอก แจ็คสันยังไม่ให้มาร์คลงน้ำเพราะเพิ่งกินข้าวไป ซึ่งคนอายุมากกว่าก็เชื่อฟังแต่โดยดีเหมือนเคย

“อยากมาที่นี่อีกจัง” มาร์คโพล่งขึ้นมา

“อืม อยากพาพ่อกับแม่มาเนอะ”

“นั่นสิ” ว่าแล้วก็หันมามองหน้าเขา “Next time, I wanna come here with you, again.”

“ต้องพูดตรงขนาดนี้เลยเหรอ”

“ก็ไม่มีอะไรให้ต้องอ้อมค้อมนี่นา”

เขายื่นมือไปจับมืออีกฝ่าย เกี่ยวนิ้วตัวเองเข้ากับข้อนิ้วเล็กนั่นเบา ๆ เป็นกริยาที่เขาชอบทำบ่อย ๆ เวลาอยู่กับมาร์คสองคน ซึ่งก็ไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่าการแสดงออกว่าอยากสัมผัส

“พอกลับไปก็ทำงานยาวเลย” มาร์คพึมพำ จากมุมของแจ็คสันเห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างที่กำลังทอดมองไปยังท้องสมุทร “พอเดือนหน้านายก็มีตารางงานที่จีนอีก คงไม่ค่อยได้เจอกัน”

“อืม”

“เดือนหน้าจะครบ 6 ปีที่เราเจอกันแล้วนะ จำได้ไหม”

“อืม”

เขากระชับนิ้วที่กำไว้ให้แน่นขึ้น รู้สึกได้ว่ามาร์คพยายามจะเกี่ยวนิ้วของเขาไว้เช่นกัน และสุดท้ายก็กลายเป็นการประสานมือเข้าด้วยกัน

“ถ้าพักเมื่อไหร่ เรามาเที่ยวกันอีกนะ”

เขาเป็นคนชวน และได้คำตอบกลับมาเป็นรอยยิ้มสดใสที่มักทำให้เขายิ้มตามของมาร์ค

FIN


20160622

ฮัลโหล ไม่เจอกันนานเลยค่ะ 5555555

หลัง ๆ มานี้เราไม่ค่อยได้เขียนฟิคเลย U_U จริง ๆ อยากเขียนมาก แต่ด้วยหลาย ๆ อย่างไม่อำนวย พอเขียนไม่ปะติดปะต่อกันสักทีเลยรู้สึกหงุดหงิด เขียนอะไรไม่ค่อยได้ดังใจเท่าไหร่ 555

อันนี้ก็เป็นฟิคสบาย ๆ ไม่มีหัวมีท้ายเหมือนเดิมค่ะ จริง ๆ ตอนแรกจะเขียนโดยเน้นไปที่เนื้อเพลง Q (ที่แจ็คสันร้องท่อนแร็ปให้มาร์คฟังตอนซาวด์เช็กภูเก็ต) แต่พอดีมีเรื่องศรีพันวาเมื่อวานมาอีก เลยแบบ… อะ ๆ รวม ๆ ไปแล้วกัน 555555555

ความยาวก็ไม่มาก เนื้อเรื่องก็ไม่ได้มีประเด็นอะไรเป็นพิเศษ เอาไว้อ่านแก้เหนื่อยแล้วกันค่ะ Take a break อะเนอะ

ช่วงนี้ฝึกงานด้วย ฮือ กลับมาบ้านก็ไม่อยากทำอะไรแล้ว แต่จริง ๆ อยากเขียนฟิคมาก แต่วันธรรมดานอนดึกไม่ได้อีก TT

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ชอบหรือไม่อย่างไรก็ช่วยคอมเมนต์กันหน่อยน้า

แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ

#wirunfic

#wirunfic – A Point (94Line/Mark)

บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย, Y, BL
หากไม่ชอบกรุณากดปิด

บทความนี้เป็นเพียงเรื่องแต่งซึ่งเกิดจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล เหตุการณ์ หรือสถานที่จริงใด ๆ ทั้งสิ้น

Rating: PG
Category: M/M
Fandom: GOT7
Relationships: JB/Mark, Jackson/Mark, Jinyoung/Mark


 

A Point

Wirunyupha

 

WARNING: Fem!Mark

Note: ชื่อตัวละครเป็นภาษาจีนทั้งหมดนะคะ ทวนกันก่อนอ่าน

มาร์ค = ต้วนอี๋เอิน

เจบี = หลินไจ้ฟ่าน

แจ็คสัน = หวังเจียเออร์

จินยอง = พู่เจินหรง

ยองแจ = ชุยหรงจ่าย

แบมแบม = ปันปัน

ยูกยอม = จินโหย่วเจียน

 

หน้าประตูห้องของประธานจินโหย่วเจียนในเวลานี้มีชายหนุ่มตำแหน่งสูงสามคนลอบเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ด้วยความระทึก คนหนึ่งคือหวังเจียเออร์ หัวหน้าแผนกการตลาด ที่วันนี้สวมเนกไทสีแดงสดใสแบบที่ได้ยินมาว่า เลขาฯ ต้วน ชอบนักหนา คนหนึ่งคือหลินไจ้ฟ่าน หัวหน้าแผนกการเงินที่วันนี้สวมแว่นตากรอบกลมแบบที่ได้ยินมาว่า เลขาฯ ต้วน ชอบใส่ และหัวหน้าแผนกประชาสัมพันธ์ พู่เจินหรง ที่วันนี้ลองใส่หูฟังยี่ห้อที่เคยเห็น เลขาฯ ต้วน ใช้ประจำ

ทั้งนี้ทั้งนั้น วันนี้ทั้งสามมาด้วยผมที่เซ็ตทรงเดียวกัน ผมสีเข้มเปิดหน้าผากให้เห็นโครงหน้าหล่อเหลาชัดเจน เป็นที่หมายปองของสาว ๆ ทั้งองค์กร ทว่าสามหัวหน้าแผนกกลับไม่มีสายตาไว้มองพนักงานหญิงคนไหนทั้งนั้น เพราะตอนนี้พวกเขาต่างมีเป้าหมายเดียวกัน

คือเลขานุการคนปัจจุบันของท่านประธานจิน

ต้วนอี๋เอิน

“…จะออกมาหรือยังนะ” หวังเจียเออร์พึมพำ หูแนบบานประตูไม้หนาหนักดีไซน์เรียบหรูของท่านประธานที่อายุน้อยกว่าเขาถึงสี่ปี ถ้าไม่ติดว่าเป็นลูกชายแท้ ๆ ของประธานคนก่อนคงไม่ได้มาดำรงตำแหน่งนี้หรอก เจียเออร์แอบเหยียดประธานคนปัจจุบันอยู่ในใจ แต่แสดงออกไม่ได้มาก เพราะเป็นที่เลื่องลือกันว่าฝีมือการบริหารของเขาเฉียบคมเสียยิ่งกว่าคนพ่ออีก

“ฉันว่าเสียงท่านประธานเงียบไปแล้ว” หลินไจ้ฟ่านออกความเห็นบ้าง ผละออกจากบานประตูอย่างระมัดระวัง เหลือบมองหน้าสหายร่วมรบที่เป็นศัตรูหัวใจไปด้วยในตัวแล้วก็พูดต่อ “ฉันว่าเราควรรีบไป”

“อีกสองนาทีสิบเอ็ดโมงครึ่ง” พู่เจินหรงที่นั่งยอง ๆ อยู่ห่างออกไปไม่กี่ฟุตมองนาฬิกาแล้วว่า “ถึงตอนนั้นท่านประธานจะออกไปกินข้าวเที่ยง”

“แล้วเลขาฯ ต้วนจะออกมาเลยไหมนะ”

“หรือจะออกไปกินข้าวกับประธาน?”

“เฮ้ย! ไม่ได้สิ เราต้องชวนเขาไปให้ได้…”

เสียงของหัวหน้าหวังเงียบหายไปเพราะประตูที่เคยปิดสนิทแง้มเปิดออกอย่างแผ่วเบา พวกเขาพร้อมใจกันผงะถอยแล้วยืดตัวตรงแน่วเหมือนทหารรอรับคำสั่งทันที คนที่ออกมาคือประธานจินโหย่วเจียนที่มองมาทางพวกเขาอย่างประหลาดใจ

“อ้าว พวกพี่ มาทำอะไรกันตรงนี้ครับ”

“สวัสดีครับ ประธานจิน”

พวกเขาทักทายได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ ให้กับคำถามนั้น ก่อนจะเหลือบไปเห็นคนที่กำลังเดินตามหลังประธานออกมาและปิดประตูอย่างเรียบร้อย เพียงแค่เห็นลาดไหล่เล็กใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดพวกเขาก็แทบหยุดหายใจ

ต้วนอี๋เอินผละออกจากบานประตูหันกายมามองพวกเขา ปลายผมสีดำสนิทที่ยาวถึงกลางแผ่นหลังพลิ้วไหวตามการขยับกาย นิ้วเรียวข้างหนึ่งยกขึ้นทัดผมที่ปรกหน้า เผยนัยน์ตาสีนิลใสราวกับลูกกวางน้อยใต้แพขนตายาว และริมฝีปากอิ่มที่แย้มยิ้มให้เห็นฟันขาวสะอาดและเขี้ยวเล็ก ๆ ทั้งสอง

“หัวหน้าหวัง หัวหน้าพู่ หัวหน้าหลิน สวัสดีค่ะ”

เพียงได้ยินคำทักทาย สามหัวหน้าแผนกก็แทบจะวิญญาณหลุด แต่ก็ต้องเรียกสติตัวเองกลับมาทักทายนางฟ้าตรงหน้าก่อน

“ส…สวัสดีครับ เลขาฯ ต้วน!”

จินโหย่วเจียนลอบยิ้มขำกับท่าทางนั้น ก่อนหันไปสั่งงานเลขานุการของตนอีกรอบ

“คุณต้วน เดี๋ยวผมจะออกไปข้างนอกกับปันปัน” เขาหันไปยิ้มใส่หน้าตาสดชื่นเหมือนได้รับน้ำทิพย์หล่อเลี้ยงของสามหัวหน้า “ถ้ามีอะไรส่งข้อความมาบอกผมนะครับ”

“ค่ะท่านประธาน”

เธอตอบอย่างนอบน้อม และมองส่งกระทั่งประธานจินหายลับเข้าลิฟต์ไป หญิงสาวจึงหันกลับมาหาสามหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง

“มีอะไรกันเหรอคะ”

สามหัวหน้ามองหน้ากัน แล้วรีบพูดทันที

พี่ต้วน! ไปกินข้าวกับพวกผมเถอะ!”

เจ้าของสรรพนามนั้นเลิกคิ้ว ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาข้อมือตัวเองแล้วพยักหน้ารับ

“เอาสิ ที่โรงอาหารก็ได้”

 

 

เลขานุการคนเก่งของประธานบริษัทจินโหย่วเจียนเป็นสาวสวยที่ชายหนุ่มทั้งบริษัทหมายปอง แต่อุปสรรคชิ้นใหญ่ของทุกคนคือท่านประธานที่ท่าทางสนิทสนมกับเลขาฯ เหลือเกิน และที่สำคัญคือสามหัวหน้าแผนกที่ล้อมหน้าล้อมหลังคุณเลขาฯ เป็นหมาเฝ้าเจ้าของ เห็นแล้วก็น่ารำคาญ แต่อีกใจก็เป็นที่สนอกสนใจกันว่า ใครกันจะได้หัวใจของคุณเลขาฯ ไป

ต้วนอี๋เอินเข้ามาทำงานที่บริษัทได้หกเดือนแล้ว ตลอดครึ่งปีที่ทำหน้าที่เลขาฯ เธอทำงานได้ดีเยี่ยม ได้รับคำชมจากทุกฝ่าย บริหารจัดการเวลาของประธานและติดต่อกับฝ่ายอื่น ๆ ได้อย่างเหมาะสม คนเอ็นดูกันทั้งบริษัท แม้จะจบจากมหาวิทยาลัยในแคลิฟอร์เนีย เป็นสาวหัวนอกแบบที่หลายคนกลัวกันว่าจะไม่ยอมโอนอ่อนให้กับคนหัวเก่าทั้งหลาย แต่เมื่อได้ทำงานร่วมกันจึงพบว่าเธอเป็นคนนอบน้อมกว่าที่คิด และมีเสน่ห์แบบที่ยากจะเกลียดได้ลง

ต้วนอี๋เอินตกเป็นเป้าหมายของสามหัวหน้าแผนกตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาแนะนำตัว สามหัวหน้าที่ตลอดมาต่างเป็นคู่แข่งของกันและกันและขัดขากันเองอยู่บ่อยครั้ง พอต้องมาเป็นศัตรูหัวใจกัน จากที่แย่งกันแทบตาย สุดท้ายตอนนี้กลายเป็นว่าสนิทสนมกันเพราะเจอกันบ่อยและปรับทุกข์เรื่องจีบเลขาฯ ไม่ติดสักทีจนรู้จักกันทะลุปรุโปร่ง

“พี่ต้วนกินอะไรเหรอ”

หวังเจียเออร์ถามทันทีที่เห็นอาหารในถาดของคุณเลขาฯ แม้พวกเขาจะมีตำแหน่งสูงในบริษัท แต่ก็ยังพึ่งพาท้องไส้ไว้กับโรงอาหารภายใน

“ก็ผัดผักนี่แหละ ไม่รู้จะกินอะไร” ต้วนอี๋เอินตอบยิ้ม ๆ รอจนทุกคนนั่งลงพร้อมกันจึงเริ่มจัดการอาหารของตัวเอง

เมื่อก่อนพวกเขาสามคนเคยแย่งกันไปตักอาหารให้คุณเลขาฯ สุดท้ายโดนดุและเธอบอกว่า ตักเองได้ เลยต้องตัดใจ เปลี่ยนมานั่งกินข้าวด้วยกันแทน ช่วงแรก ๆ กินกันไปเขม่นกันไป จนตอนหลังกลายเป็นนั่งคุยกันเหมือนไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน

แต่ถึงแม้จะบอกว่าคุยกันเหมือนเพื่อน ทว่าลึก ๆ แล้วพวกเขาสามคนก็ยังแข่งกันอยู่ว่าใครจะได้ใจคุณเลขาฯ ไปครอง การกินข้าวกลางวันด้วยกันเป็นช่วงที่แข่งกันทำคะแนนได้ง่ายที่สุด และคนที่จะทำแต้มแรกของวันนี้ก็คือ…

“อันนี้อร่อยนะ” ขวดแก้วสีชมพูอ่อนวางลงตรงหน้าต้วนอี๋เอิน “น้องสาวฉันซื้อมาฝากจากเกาหลี”

หลินไจ้ฟ่าน

ราวกับได้ยินเสียงระฆังบอกศึกดังขึ้น เจินหรงและเจียเออร์เหลือบมองกัน แล้วหันไปมองท่าทีเหมือนไม่รู้สึกอะไรของไจ้ฟ่าน ขณะที่ต้วนอี๋เอินยิ้มหวานรับ

“ขอบคุณนะ พี่ชอบนมสตรอว์เบอร์รี่มากเลย”

วางท่าเป็นเย็นชา ชิคมากเหรอ!

เจินหรงกับเจียเออร์เขม่นอยู่ในใจ

“เอ่อ พี่ต้วน” เจินหรงเอาบ้าง “อาทิตย์นี้มีหนังใหม่เข้านะ ผมได้ตั๋วฟรีมา ไปดูกันไหม”

“พี่เหรอ” ต้วนอี๋เอินทำตาโตอย่างสนใจ น่ารักมาก สามหัวหน้าแผนกคิด “ทำไมชวนพี่ล่ะ”

“ก็เห็นพี่บอกว่าชอบหนังค่ายนี้ ผมไม่เคยดูภาคอื่นมาก่อนเลย เล่าให้ฟังหน่อยสิ”

“อ๋อ เรื่องนั้นเอง…”

ร้ายกาจนัก พู่เจินหรง! หวังเจียเออร์ตวัดสายตาไปมอง แอบเห็นท่าทางยิ้มเยาะของเจ้าหัวหน้าแผนกประชาสัมพันธ์ที่ส่งมาตอนพี่ต้วนไม่เห็นด้วย

จังหวะที่คุณเลขาฯ กำลังจะเริ่มเมาท์เรื่องหนังและน่าจะติดลมในเร็ว ๆ นี้ หวังเจียออร์ก็ทำสิ่งที่ทำเอาทุกคนอ้าปากค้าง

โดยการยื่นมือไปจับผมของคุณเลขาฯ ที่เกือบจะลงจานอาหารไปแล้ว

“ระวังเลอะนะพี่”

ไจ้ฟ่านกับเจินหรงอ้าปากค้าง

ต้วนอี๋เอินกะพริบตาปริบ ๆ “…ขอบคุณมาก” แล้วก็หยิบยางมัดผมมารวบผมขึ้นเป็นหางม้า

พอสบโอกาส หัวหน้าแผนกการเงินกับประชาสัมพันธ์ก็กระชากหัวหน้าแผนกการตลาดมากระซิบด่าอย่างบ้าคลั่ง

“ทำบ้าอะไรของแก๊!”

“ไหนว่าจะไม่แตะเนื้อต้องตัวจนกว่าจะตกลงปลงใจไง แกเล่นนอกกติกา!”

หวังเจียเออร์ยักไหล่ “ก็เห็นผมพี่เขาจะเปื้อนแล้วก็ช่วยปัดออกให้ ผิดอะไรล่ะ”

อีกสองคนแทบจะกินหัวเจียเออร์เข้าไป จนได้ยินเสียงต้วนอี๋เอินดังขึ้นอีกรอบ

“นี่ ไม่กินกันต่อหรือไง เดี๋ยวไปทำงานไม่ทันนะ”

“ค…ครับ”

พวกเขาสลายตัวกันอีกรอบ กลับมาตั้งหน้าตั้งตากินเหมือนเมื่อครู่ไม่ได้เกิดสงครามย่อม ๆ ขึ้น

 

 

มื้อเที่ยงผ่านพ้นไป ต่างคนต่างแยกย้ายกลับไปทำงาน หลินไจ้ฟ่านหยิบเอกสารเตรียมไปส่งให้คุณเลขาฯ เหมือนที่ทำประจำ แต่เมื่อไปที่โต๊ะกลับพบว่าเจ้าตัวไม่อยู่เสียอย่างนั้น

“น้องหรงจ่าย” เขาถามชุยหรงจ่ายผู้ช่วยเลขาหน้าตาน่ารักอีกคน “…เลขาฯ ต้วนล่ะ?”

“พี่ต้วนไปเข้าห้องน้ำค่ะ เดี๋ยวก็มาแล้ว เอกสารวางไว้ตรงนั้นก็ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูบอกพี่เขาให้”

ไจ้ฟ่านพยักหน้ารับรู้แล้วเดินออกไป ขณะที่จะกลับไปที่แผนกตัวเองก็นึกได้ว่าต้องเดินผ่านห้องน้ำหญิง เลยอดไม่ได้ที่จะเดินให้ช้าลง เผื่อจะเพิ่มความเป็นไปได้ที่จะบังเอิญเจอกับคนที่เขาอยากเจอ

แล้วก็เป็นดังคาด

ต้วนอี๋เอินเดินออกมาจากห้องน้ำ ตรงมาตามทางเดิน ผมยาวยังคงมัดรวบไว้เหมือนเดิม พอเห็นหน้าเขาก็ยิ้มให้เล็กน้อย

“ชอบของฝากของผมไหม”

เขาพูดรั้งไว้ อี๋เอินชะงักฝีเท้า ไจ้ฟ่านมองขาเรียวใต้ถุงน่องสีเข้มและรองเท้าส้นสูงสีดำสนิทแล้วก็กลับมามองใบหน้าสวยตรงหน้าอีกครั้ง

อี๋เอินเอียงคอเล็กน้อย เห็นปอยผมบางส่วนระไหล่ “อร่อยดีนะ”

“แปลว่าชอบใช่ไหม”

“อืม” แล้วก็ยิ้มจนตาหยี “ชอบมากเลยล่ะ”

ไจ้ฟ่านมองรอยยิ้มสดใสนั้นแล้วถอนหายใจ

“หมายถึงนมใช่ไหม”

อี๋เอินยักไหล่ ทำท่าจะเดินหนีไป แต่เขาหยุดอีกฝ่ายไว้ด้วยคำพูดสั้น ๆ

“เดี๋ยว”

เธอทำท่าจะหันกลับมา แต่ไม่ทันมือของเขาที่ยื่นออกไปก่อน และรูดยางมัดผมเส้นนั้นลงมา กลุ่มผมที่ถูกรวบไว้หลวม ๆ หลุดลงสยายเต็มแผ่นหลัง และสะบัดกลับไปตามจังหวะการหันมาของเจ้าของ

ต้วนอี๋เอินเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง

หลินไจ้ฟ่านยิ้มมุมปาก “แบบนี้สวยกว่านะ หลังคอพี่น่ะอย่าให้ใครเห็นเลย”

หลินไจ้ฟ่าน 1 แต้ม

 

 

“ตรงนี้น่าจะต้องเพิ่มอะไรเข้าไปหน่อย ผมว่ามันน่าเบื่อไป” พู่เจินหรงเคาะแผ่นกระดาษที่ลูกน้องเสนอมา “เดี๋ยวเปลี่ยนสีตัวอักษรนิดนึงด้วย ผมขอไปชงกาแฟแป๊บนึง”

ชายหนุ่มผละออกจากห้องทำงาน ตรงไปที่ห้องชงกาแฟที่อยู่ส่วนกลางของชั้น เมื่อเดินเข้าไปก็เจอคุณเลขาฯ กำลังชงกาแฟอยู่เงียบ ๆ

“พี่ต้วน” เขาทักเสียงเบา เจ้าของชื่อหันมายิ้มให้นิดหน่อย

“ไง เจอกันอีกแล้ว”

“ชงกาแฟให้ประธานจินเหรอครับ”

“อืม” ว่าแล้วก็หยุดคนช้อนกาแฟ “น่าจะโอเคแล้ว”

“พี่ชงกาแฟอร่อยเหรอ เคยได้ยินประธานชม”

“ไม่รู้สิ” เจ้าตัวยักไหล่ “ก็ชงให้เขากินคนเดียว ไม่รู้อร่อยจริงไหม”

“ถ้าไม่อร่อยเขาก็บอกให้เลิกชงแล้ว”

“ก็จริง”

พวกเขาหัวเราะกันเบา ๆ ก่อนที่เจินหรงจะนึกอะไรขึ้นมาได้

“เอ้อ พี่ เพลงใหม่ของวงที่ผมเคยให้พี่ยืมแผ่นไปฟังแล้วพี่บอกว่าชอบน่ะ” เขาหยิบมือถือออกมาเสียบหูฟังยี่ห้อที่เคยเห็นต้วนอี๋เอินใช้ “ลองฟังไหม ผมโหลดมาแล้วนะ”

“แป๊บเดียวนะ”

“ฟังเพลงมันไม่ได้นานขนาดนั้นหรอกน่า”

เจินหรงไม่ได้ยื่นหูฟังให้อีกฝ่ายเสียบเอง แต่กลับปัดผมที่ปรกใบหูเล็กออกเบา ๆ แล้วเสียบหูฟังให้อย่างระมัดระวัง ก่อนจะกดเปิดเพลงทันทีโดยไม่ให้จังหวะคนตรงหน้าร้องประท้วงอะไร

ทำนองดนตรีที่ดังขึ้นทำให้คุณเลขาฯ เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะหันมามองเขาด้วยสายตาเป็นประกาย

“เพราะมากเลย”

“ใช่ไหมล่ะ”

“ชอบจัง”

“อืม” เขามองคนตรงหน้า “ผมก็ชอบ”

พู่เจินหรง 1 แต้ม

 

 

“ถ้าจะไปยิม ผมไปส่งได้นะ”

หวังเจียเออร์หยุดอยู่ตรงทางเดิน ขวางต้วนอี๋เอินที่เพิ่งเลิกงานและกำลังจะเดินไปขึ้นรถไฟ

เธอทำหน้างงใส่เขา “รู้ได้ยังไงว่าวันนี้พี่ไม่ได้เอารถมา”

“เมื่อเช้าผมเห็นน่ะ” ว่าแล้วก็เดินนำไปที่จอดรถ “มาสิ”

พอขึ้นมาบนรถ ชายหนุ่มหรี่แอร์ลงไม่ให้เย็นมากนัก ต้วนอี๋เอินงุ่นง่านอยู่กับการคาดเข็มขัดนิรภัย เขาจึงอดไม่ได้หันไปกดมันใส่ตัวล็อกให้ เลขาฯ ต้วนขอบคุณเสียงเบา แล้วนั่งหลังเหยียดตรงแบบที่ทำประจำ มองตรงไปยังทางเบื้องหน้า

“แล้วพี่จะกลับยังไง”

“พี่มีนัดกินข้าวเย็นกับครอบครัวประธานต่อ เดี๋ยวท่านคงไปส่ง”

“อ๋อ”

เจียเออร์พึมพำพอรับรู้ ขณะเคลื่อนรถไปตามถนน รถวันนี้ติดกว่าปกติแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นว่าเคลื่อนที่ไปไหนไม่ได้ แป๊บเดียวพวกเขาก็มาถึงยิมประจำของต้วนอี๋เอินแล้ว

“วันนี้ไม่เข้ายิมเหรอ” ต้วนอี๋เอินถามเมื่อเห็นเขาไม่ลงจากรถ เจียเออร์ยิ้มกว้าง

“วันนี้ผมมีธุระต่อน่ะ ทำไม เกิดอยากเจอหน้าผมขึ้นมาหรือไง”

“เปล่า” เธอตอบเสียงเรียบ ๆ “ตอนแรกว่าจะติดรถไปร้านอาหารด้วย”

“อ้าว” เจียเออร์เหวอไป “งั้นเดี๋ยวผมวนมารับก็ได้นะ”

“จะบ้าหรือไง ไปทำธุระของนายสิ” ต้วนอี๋เอินขมวดคิ้ว “ฉันหาทางไปต่อเองได้น่า ไม่ใช่เด็กแล้วนะ”

“ยังไงพี่ก็เป็นผู้หญิง…”

“ที่ได้เทควันโดสายดำ”

“…”

เจียเออร์ลืมข้อนี้ไปเสียสนิทเลย ผู้หญิงสมัยนี้นี่อันตรายจริง ๆ

“แต่ยังไงผมก็ห่วงพี่อยู่ดี” เขาขยับเข้ามาใกล้ “ไม่ใช่แค่ในฐานะรุ่นน้องร่วมบริษัท พี่รู้ใช่ไหม”

“…”

“ทั้งผม เจินหรง หรือไจ้ฟ่าน”

ต้วนอี๋เอินปลดเข็มขัด และเปิดประตูรถลงไป

เมื่อเธอปิดประตู เจียเออร์ลดกระจกลง หญิงสาวด้านนอกยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน

“ขอบคุณที่มาส่ง”

“อืม ผมเต็มใจน่ะ”

“อืม”

“…ผมเป็นห่วงพี่นะ”

“ขอบคุณ”

“มีอะไรโทร.หาได้นะ” แล้วก็กำชับอีกรอบ “โทร.หาผมนะ ไม่ใช่มันสองคน”

อี๋เอินถอนหายใจ “พวกนายเนี่ยน้า…”

“แล้วเจอกันนะพี่”

“ไว้เจอกัน”

เจียเออร์ขับรถออกไปแล้ว อี๋เอินมองส่งจนลับตาจึงเดินเข้าไปในตัวอาคาร แต่ทันใดนั้นเธอก็นึกอะไรขึ้นมาได้ หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดเปิดแอปบันทึกของตัวเอง แล้วพิมพ์ข้อความลงไป

สำหรับความเป็นห่วงที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนตะกี้

“หวังเจียเออร์ 1 แต้ม”

 

FIN…


 

20170601

ห้วนไปหน่อย คือพิมพ์ ๆ อยู่หันมามองนาฬิกาแล้วตกใจ ไม่ได้ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า 5555555555

จริง ๆ ฟิคนี้เป็นฟิคแก้บนค่ะ สัญญาว่าจะเขียนหลังจากได้ดูกัซแจ็คสันโชว์ตอนปมมัค

เขียนให้มาร์คอ่อยเรี่ยราดนี่สนุกดีนะคะ

ชอบคนไหนเชียร์คนไหนมาบอกกันได้ในแท็ก 55555555

เจอกัน

#wirunfic

#wirunfic – You’re My Family (Jackson/Mark)

บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย, Y, BL
หากไม่ชอบกรุณากดปิด

บทความนี้เป็นเพียงเรื่องแต่งซึ่งเกิดจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล เหตุการณ์ หรือสถานที่จริงใด ๆ ทั้งสิ้น

Rating: PG
Category: M/M
Fandom: GOT7
Relationships: Jackson Wang/Mark Tuan


You’re My Family

Wirunyupha

 

“อันนี้อร่อยเหรอ?”

มาร์คถามขึ้นมาขณะที่พวกเขาล้อมวงกันกินอาหารเที่ยงในห้องซ้อม ทุกคนหันไปมองตามที่พี่ใหญ่ของวงชี้ แล้วหัวหน้าวงก็เป็นคนตอบว่า “อืม อร่อย”

“จริงอะ” มาร์คพึมพำ หยิบขนมซองนั้นขึ้นมา แล้วควานหาชิ้นหนึ่งมาถือไว้ ขณะที่ทุกคนคิดว่ามาร์คคงทดลองกินก่อนเพื่อพิสูจน์ว่าอร่อยจริงหรือไม่ มือเรียวนั่นก็ยื่นขนมไปทางคนที่นั่งข้างกัน

“แจ็คสัน อันนี้แจบอมบอกว่าอร่อยอะ”

ขนมชิ้นเล็กจ่อปากคนอายุน้อยกว่า แจ็คสันรับมันเข้าไปในปากอย่างไม่ถือสา “ก็อร่อยจริง ๆ แหละ ลองกินดิ”

“ถ้าอร่อยนายก็กินเหอะ เดี๋ยวฉันกินอีกซองก็ได้”

ภาพตรงหน้าทำเอาพัคจินยองหยุดดูดน้ำในแก้วของตัวเอง แล้วหันมาถามคนสองคนตรงหน้า

“นี่ พวกพี่ไม่ทะเลาะกันแล้วเหรอ”

มาร์คทำหน้างง “หมายถึงอะไร”

“อ้าว” จินยองเหวอ “ไม่ได้ทะเลาะกันอยู่เหรอ”

แจ็คสันกะพริบตาปริบ ๆ “ก็ไม่นะ”

จินยองหันไปมองแจบอม หัวหน้าวงยักไหล่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ พอหันไปมองพวกน้องอีกสามคน ก็ได้สีหน้าไม่รู้เรื่องเหมือนกันตอบกลับมา

เอาเหอะ จินยองควรจะชินได้แล้วล่ะ ใช่ครั้งแรกเสียเมื่อไหร่

วันก่อนสองคนนี้ทะเลาะกัน ไม่ต้องพูดออกมาก็รู้ ปฏิกริยาแบบที่รู้กันทั้งวง หรือเผลอ ๆ อาจจะทั้งค่าย ถ้าช่วงไหนคู่หูมาร์คสันไม่ตัวติดกัน หรือทำท่าทีห่างเหินใส่กัน สันนิษฐานได้เลยว่าทะเลาะกัน ไม่ว่าจะมากน้อย แต่ทุกคนก็เคยชินกับการอยู่ด้วยกันของสองคนนี้ ต่อให้ไม่สนิทกับทั้งสองคนยังมองออกเลยว่าความสัมพันธ์ของสองคนนี้ลึกซึ้งระดับหนึ่ง ดังนั้นเวลาทะเลาะกันเลยเห็นชัดมาก

แล้วพอมาวันนี้มาบอกว่าไม่ได้ทะเลาะกัน

เชื่อก็ไม่ใช่จินยองแล้ว แต่เขาขี้เกียจซักไซ้ไล่เรียง เลยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปเหมือนปกติ

“เดี๋ยวซ้อมอีกทีบ่ายสองแล้วกัน” แจบอมว่า “ไปหาอะไรทำให้มื้อนี้ย่อยก่อน แล้วมาต่อท่ากัน”

สิ้นเสียงทุกคนก็แยกย้ายกันไป แจ็คสันสะกิดมาร์คเบา ๆ ที่ต้นขาก่อนถาม

“ไปข้างนอกไหม”

“ไปไหน” มาร์คตอบเสียงเบา เพราะหน้าพวกเขาอยู่ใกล้กันจนไม่ต้องพูดเสียงดังก็ได้

“อีกตั้งชั่วโมง ไปหาอะไรกินข้างนอกไหม”

“แฟนเยอะ ขี้เกียจอะ”

“งั้นกลับหอกัน”

“กลับไปทำไม”

“มาร์ค…”

จินยองจับแจ็คสันดึงออกมา

“ไม่ต้องพูดกันใกล้ขนาดนั้นก็ได้” เขารีบอธิบายเมื่อเห็นสีหน้าไม่ค่อยพอใจของมาร์ค “ที่นี่ไม่ได้มีแค่พี่กับแจ็คสันนะ”

พอพูดแบบนั้นสีหน้ามาร์คก็กลับมาเป็นปกติ นับว่าจินยองรอดตาย

“ถ้าอยากหาที่อยู่เงียบ ๆ กันสองคน…” แจบอมพึมพำขึ้นมา “มันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีที่เลยนะ”

แจ็คสันกับมาร์คมองหน้ากันแล้วหันไปมองคนพูดอย่างสนใจ

 

 

ที่ที่แจบอมหมายถึงคือชั้นบนสุดของอาคารที่ปกติไม่มีคนมาใช้ เป็นห้องสำหรับเก็บของแต่พื้นที่ก็โล่งกว้างพอจะมาซ้อมได้ถ้าในกรณีจำเป็นจริง ๆ มาร์คไม่ได้มาที่นี่นานแล้ว จนลืมไปแล้วว่ามีห้องแบบนี้ด้วย

พอแจ็คสันปิดประตู เขาก็เดินไปนำริมหน้าต่าง ม่านในห้องทิ้งตัวจากเพดานจรดพื้น แสงภายนอกไม่ได้ลอดเข้ามาถ้าเขาไม่แง้มม่านออกเล็กน้อย แต่เหมือนอีกคนจะไม่ได้สนใจนักว่าห้องจะสว่างหรือเปล่า

“มาร์ค…”

เสียงกระซิบใกล้พร้อมกับลมหายใจอุ่น ๆ ที่รดหลังคอ มาร์คไม่ได้บ้าจี้ขนาดนั้น จึงปล่อยให้อีกคนแนบริมฝีปากลงไปด้วยท่าทีเฉยชา แต่ในใจกลับเต้นรัวเหมือนทุกครั้ง

“เดี๋ยวต้องซ้อมอีกนะ” เขาเตือน หันมาคว้ามืออีกคนไปกุมไว้ไม่ให้ลามปามไปมากกว่านี้ แจ็คสันทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ คว้ามือข้างนั้นไปหอมเล่นอย่างหลงใหล

จะว่าเป็นเรื่องปกติก็ได้ ทะเลาะกันทีไรเวลากลับมาดีกันจะเป็นแบบนี้ทุกที

ราวกับชดเชยที่ทำให้ต่างฝ่ายต่างบอบช้ำทางจิตใจ

“ฉันอยากอยู่กับมาร์คนี่นา” แจ็คสันงอแง วางคางลงบนไหล่เขาทั้งที่ยังไม่ปล่อยมือ ท่าทางออดอ้อนนั่นก็น่ารักดี เสียอย่างเดียวว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ในที่ทำงาน

“เดี๋ยวกลับหอก็ได้อยู่ด้วยกันแล้ว”

“อยากอยู่ด้วยตลอดเวลาเลย”

“เป็นบ้าไปแล้วเหรอ”

“คงงั้น” ยกมือเขามาจูบข้อนิ้วอีกรอบ ลมหายใจร้อน ๆ ที่รดหลังมือทำเอามาร์ครู้สึกหน้าร้อนวูบไปด้วย “เดี๋ยวก็ไม่ได้เจอกันอีกตั้งหลายวัน”

แจ็คสันหมายถึงตารางงานที่ต้องบินไปประเทศจีน

มาร์คถอนหายใจ “อย่าลืมว่าต้องซ้อมต่อ”

“งั้นจูบนะ”

ไม่รอให้เขาตอบ มือข้างที่ว่างรั้งใบหน้าของเขาเข้าไปพร้อมกับริมฝีปากที่ประกบลงมาทันทีราวกับอดอยากนักหนา มาร์คตอบรับสัมผัสนั้น ยกมืออีกข้างขึ้นไล้กรอบหน้าของคนตรงหน้าเบา ๆ ขณะที่รู้สึกว่าริมฝีปากถูกดูดดึงไปมาราวกับเป็นขนมหวาน

จนแจ็คสันพอใจนั่นแหละริมฝีปากจึงได้เป็นอิสระ แต่ปลายจมูกยังคงชนกัน มาร์คจ้องมองนัยน์ตาอีกคนที่มองมาอย่างท้าทาย

“พอได้แล้วน่า”

“อืม…” มือข้างที่ถูกจับไว้ยังคงอยู่ในอุ้งมือใหญ่ แจ็คสันไล้นิ้ววนที่หลังมือเขาไปมา “ไม่อยากหยุดเลย”

“ทำงาน”

“อืมมมมม”

“งอแงจริง” เขาบ่นขำ ๆ แตะมุมปากอีกฝ่ายด้วยริมฝีปากของตัวเองไปหนึ่งที “กว่าจะครบชั่วโมงก็อยู่กับฉันให้เต็มที่”

“แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ไง”

“ต้องซ้อม”

“งืออออออ”

“แจ็คสัน หวัง”

“คร้าบ”

พอโดนเขาเสียงเข้มใส่ก็ทำเสียงอ่อยเหมือนเด็กน้อย เห็นแล้วอดยกมือขยี้ผมด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้

“ทำตัวเป็นเด็กน้อยเลย”

“ฉันก็เด็กกว่านายนะ”

“ปกติไม่เห็นแคร์เรื่องนี้”

แจ็คสันยักไหล่ “นายไม่ใช่พี่ฉันสักหน่อย”

“แล้วฉันเป็นอะไรไม่ทราบ”

แจ็คสันหรี่ตา “อยากให้ตอบว่าอะไร”

“ไม่ตอบตามใจฉันสิ ตอบตามที่นายรู้สึก”

แจ็คสันเลิกคิ้ว ก่อนจะใช้สองมือกุมมือเขาไว้แล้วตอบเสียงเบา ทว่าหนักแน่นราวกับคำสัตย์สาบาน

“มาร์คน่ะเป็น… ครอบครัว”

คนฟังหลุดขำ “ครอบครัวแบบไหน”

“แบบที่อยากพาไปแนะนำให้พ่อกับแม่รู้จักแล้วบอกว่า ผมจะสร้างครอบครัวกับเขา แบบนี้อะ”

ท่าทางทะเล้นทำเอาเขาอดบีบจมูกรั้น ๆ นั่นทีหนึ่งไม่ได้ แล้วก็ได้จุมพิตลึกซึ้งอีกหนึ่งทีมาตอบแทน

ครอบครัวเหรอ

นั่นสินะ แจ็คสันเองก็เป็นครอบครัวของเขาเหมือนกัน

ครอบครัวที่อยากจะให้อยู่เคียงข้างตลอดไป

 

FIN


 

20170530

ก็กลับมาเขียนได้นะ 555

โดนมรสุมมานิดหน่อย อยู่ในช่วงฟื้นตัวค่ะ

อันนี้เขียนแก้ขัด คิดถึงอะไรหวาน ๆ

อยากต่อฟิคยาวแล้ว แต่ยังไม่มีเวลาอยู่กับที่นาน ๆ เลย โดนลากไปนู่นมานี่ตลอด /ถอนหายใจ

แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ

#wirunfic

#wirunfic – #5YearswithJJProject (JB/Jinyoung)

บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย, Y, BL
หากไม่ชอบกรุณากดปิด

บทความนี้เป็นเพียงเรื่องแต่งซึ่งเกิดจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล เหตุการณ์ หรือสถานที่จริงใด ๆ ทั้งสิ้น

Rating: PG
Category: M/M
Fandom: GOT7
Relationships: Im Jaebeom/Park Jinyoung


#5YearswithJJProject

Wirunyupha

 

“ตรงกันข้าม / ขาดไม่ได้ / คู่ชีวิต”

 

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่คนที่เขาคิดว่าเป็น ‘น้องชาย’ เปลี่ยนสถานะมาเป็นอะไรสักอย่างที่ใกล้เคียงกับคำว่า ‘คู่ชีวิต’

ขาดอยู่อย่างเดียวคือพวกเขายังไม่ได้แต่งงานกัน

 

 

“อันนี้ของยูกยอมกับแบมแบม อันนี้ของพี่มาร์คกับแจ็คสัน” เสียงนุ่มพึมพำอยู่ข้าง ๆ เขา “ส่วนอันนี้ของพี่แจบอม”

“รู้ได้ยังไงว่าฉันชอบอันนี้”

พัคจินยองหันมาเลิกคิ้วใส่เขา “ไม่รู้ก็แปลกแล้ว ผมไม่ได้เพิ่งรู้จักพี่เมื่อวานนะ”

ก็จริง

หลังจากกวาดข้าวของที่จำเป็นใส่ลงรถเข็นที่เขาทำหน้าที่เข็นแล้ว พัคจินยองก็เดินนำไปยังเคาท์เตอร์ วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันพักผ่อนที่หาได้ยากยิ่งของก็อตเซเว่น และพวกเขาตัดสินใจไม่กลับบ้านกัน จึงออกมาซื้อของใช้ที่จำเป็นกลับไปไว้ที่หอ และซื้อของสดบางส่วนไว้ทำของอร่อย ๆ กินกัน

ขณะที่จะถึงเคาท์เตอร์ พัคจินยองชะงักฝีเท้า ส่งเสียง “อ๊ะ” เบา ๆ ขึ้นมาให้พอได้ยิน แล้วหันควับกลับมาหาเขา

“อาหารแมวหมดหรือยังน่ะ พี่แจบอม”

“ฉันซื้อเองได้น่า”

“ไหน ๆ ก็ออกมาแล้ว ซื้อไปเถอะ ไม่รู้จะได้ออกมาซื้ออีกเมื่อไหร่นะ”

ท่าทางที่ทำให้เขานึกถึงคุณแม่ทำให้แจบอมยอมหันรถเข็นกลับไปที่แผนกอาหารสัตว์ มีจินยองเดินตามมาไม่ห่าง

พอเขาทำท่าจะยกกระสอบอาหารขึ้นมา จินยองก็รีบพุ่งเข้ามาช่วยทันที

“ฉันยกเองได้น่า…”

“เอวพี่ยังต้องเก็บไว้เต้นนะ”

เถียงมาด้วยคำที่เขาโต้กลับไม่ได้อีกแล้ว

สุดท้ายก็ช่วยกันขนขึ้นรถเข็นมาอีกสองกระสอบ เหตุผลที่ต้องซื้อสองเพราะจินยองบอกว่ามันลดราคา พอมาจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์ ก็เป็นจินยองอีกที่จัดการค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้วพากันเข็นรถมาที่ที่จอดรถ

พวกเขาช่วยกันขนของขึ้นรถ หลังจากเก็บรถเข็นเสร็จจินยองก็นั่งลงที่ที่นั่งข้างคนขับ แจบอมเปิดประตูเข้ามา มองคนที่คาดเข็มขัดเรียบร้อยนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถแล้วก็อดคิดกับตัวเองขำ ๆ ไม่ได้

ทำไมรู้สึกเหมือนมาซื้อของเข้าบ้านกับแฟนก็ไม่รู้

 

 

มื้อค่ำผ่านพ้นไปแม้จะเต็มไปด้วยความวุ่นวายสักเล็กน้อย แต่ก็เป็นความวุ่นวายที่พวกเขาคุ้นชินมาหลายปีและเป็นความรู้สึกอบอุ่นเล็ก ๆ ในใจ

หลังจากสมาชิกทุกคนแยกย้ายกันเข้าห้องของตัวเอง แจบอมออกมานั่งเล่นที่โต๊ะกินข้าว ไถมือถือดูอะไรไปได้สักพัก เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามก็เลื่อนออก คนที่ถือหนังสือเล่มเล็กมานั่งคือพัคจินยอง

“ยังไม่นอนเหรอ” เขาถาม จินยองยิ้มให้เหมือนทุกครั้ง

“อืม ผมยังไม่ง่วง พี่ก็ยังไม่นอนนี่ ออกมานี่แมวกวนเหรอ”

“แมวยึดเตียงอีกแล้ว”

ได้ยินเสียงอีกคนหลุดขำ “แล้วไม่ไปห้องพี่มาร์ค?”

“โดนไล่ออกมาตะกี้ บอกว่าจะนอนแล้วอย่ากวน”

คนฟังทำหน้าเหมือนจะสงสารปนขำอยู่ในที เขาเลยถามกลับบ้าง

“แล้วทำไมไม่อ่านในห้องล่ะ”

“นอนอ่านหนังสือมันไม่ดีน่ะ”

“ในห้องนายไม่มีโต๊ะหรือไง”

“เปลืองไฟ ไหน ๆ พี่ก็อยู่ห้องนี้แล้ว” พูดแล้วก็เปิดหนังสือเตรียมจะอ่าน “อีกอย่าง ผมไม่ได้อ่านหนังสือข้าง ๆ พี่มาสักพักแล้วเหมือนกัน”

คนฟังเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะซ่อนรอยยิ้มของตนโดยการก้มหน้าลงแสร้งทำเป็นเล่นมือถือต่อ

หนังสือเล่มแรกที่จินยองอ่าน แจบอมไม่รู้หรอกว่าเรื่องอะไร แต่เขารู้ว่าที่จินยองเป็นจินยองผู้นิยมอ่านหนังสือในเวลาว่างเช่นนี้ เป็นเพราะเขาเอง

เขาจำไม่ได้หรอกว่าตัวเองแนะนำหนังสืออะไรให้อีกฝ่ายไปบ้าง แต่รู้สึกตัวอีกที ช่วงหนึ่งของชีวิตที่รู้จักกัน พวกเขาสามารถนั่งคุยกันได้เป็นชั่วโมงเรื่องหนังสือที่ตัวเองอ่าน แม้จะอ่านเล่มเดียวกัน แต่ความรู้สึกที่มีต่อหนังสือกลับต่างกัน ช่วงนั้นแจบอมตระหนักขึ้นมาอย่างจริงจังว่า การอ่านหนังสือมันสนุกก็จริง แต่การมีคนที่อ่านเล่มเดียวกับเราแล้วคุยกันได้ มันสนุกกว่านั้นเสียอีก

ชั่วขณะหนึ่ง แจบอมคิดขึ้นมาว่า ถ้าสมมุติตรงหน้าของเขาตอนนี้ไม่มีพัคจินยองจะเป็นยังไงกันนะ… ถ้าวันนั้นเขาไม่เจอจินยอง ถ้าไม่ได้ผ่านออดิชั่นด้วยกัน ถ้าไม่ได้เป็นเจเจโปรเจกต์จนมาเป็นก็อตเซเว่น วันนี้เขาจะเป็นแจบอมแบบไหนกันนะ

แล้วจินยองที่ไม่มีเขาอยู่เคียงข้าง จะเป็นจินยองแบบไหนกัน…

พูดกันตรง ๆ แจบอมนึกภาพไม่ออกหรอก เกือบหนึ่งในสามของชีวิตของเขามีคนชื่อพัคจินยองอยู่เคียงข้างมาตลอด พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน ผ่านอะไรด้วยกันมามาก ตัวตนของแต่ละคนก็เป็นส่วนที่เติมเต็มขึ้นมาจากการมีอีกคนอยู่ในชีวิต เพราะมีจินยองเขาถึงเป็นแจบอมในแบบทุกวันนี้ และเพราะมีเขา จินยองจึงเป็นจินยองแบบที่เขาและทุกคนรู้จัก

ดังนั้นภาพวันที่ไม่มีกันและกัน คิดยังไงแจบอมก็คิดไม่ออกจริง ๆ

เสียงฝีเท้าที่เดินตรงมายังห้องอาหารทำให้แจบอมหลุดจากภวังค์ เขาเห็นจินยองยังนั่งอ่านหนังสืออยู่ และเมื่อมองไปตามเสียงก็เห็นมาร์คเดินหน้าง่วงออกมา แต่พอเห็นพวกเขาก็ทำหน้าเหมือนเจอผี

“…อะไร” เขาถามกลับด้วยเสียงเนือย ๆ

“หมายถึง?”

“ทำไมพี่ทำหน้าแบบนั้น” จินยองตอบให้

มาร์คกลอกตา “ก็เป็นซะแบบนี้…” มองมาทางพวกเขาอีกรอบแล้วก็พูดด้วยเสียงโมโนโทนที่ต่ำจนชวนง่วงเหมือนหน้าคนพูด “ตอนฉันเดินเข้ามายังไม่ทันทักก็เห็นพวกนายยกมือขึ้นมาวางบนโต๊ะพร้อมกัน พอหันมาหาฉันก็หันมาหาพร้อมกัน จะซิงโครไนซ์กันเกินเบอร์ไปแล้ว แลกวิญญาณกันแล้วหรือไง”

เขาถอนหายใจ ได้ยินเสียงถอนหายใจของจินยองดังพร้อมกัน “พูดไร้สาระผิดปกตินะพี่ ติดใครมาหรือเปล่า” จินยองแซ็ว และโดนเสียงถอนหายใจแรง ๆ ตอบกลับมา

“ฉันจะมาถามว่า…” มาร์คหยิบมือถือมากดหน้าจอเลื่อนดู “เอ่อ พี่สาวฉันถามว่า อยากได้อะไรหรือเปล่า พอดีเขาแวะร้านที่พวกนายชอบกัน”

เขามองหน้าจินยอง ก่อนจะตัดสินใจพูดเอง “เดี๋ยวฉันพิมพ์บอกในคาทกก็ได้”

“เอางั้นเหรอ”

“อืม”

“หน้าพี่ดูอยากนอนเต็มที่แล้วอะ”

“จริง” มาร์คบ่น “ง่วงจะตายอยู่แล้ว โทร.มาทำเสียงรีบร้อน ก็นึกว่ามีใครเป็นอะไร”

“ไปนอนเหอะ”

“เออ พี่ไปนอนเถอะ”

มาร์คพยักหน้ารับ “รีบบอกนะ ก่อนเที่ยงคืน” แล้วก็เดินกลับเข้าห้องไป

พอเสียงปิดประตูของมาร์คเงียบลง เขาก็หันมาหาจินยอง “อยากได้อะไรหรือเปล่า”

“อืม…” จินยองยกมือขึ้นเท้าคาง เคาะนิ้วเบา ๆ ข้างแก้มตัวเอง ท่าทางครุ่นคิด “เสื้อล่ะมั้ง”

“ฉันอยากได้หมวกแฮะ”

“มันก็ดูสไตล์พี่จริง ๆ”

“เสื้อนายก็คงลายแบบนี้ล่ะสิ” เขาหันจอมือถือออกให้ดู “แบบที่ฉันไม่ชอบเลย แต่นายใส่แล้วดันเข้ากันสุด ๆ”

จินยองหัวเราะ “พี่แต่งตัวแบบ ยังไงดีล่ะ บีบอยจริง ๆ”

“นายก็แต่งตัวได้ผู้ชายเกาหลีมาก ๆ”

“เวลาเดินด้วยกันแล้วเหมือนมาจากคนละที่”

“อืม”

เขารับคำในคอ นึกภาพตามแล้วอดยิ้มขำไม่ได้ บางทีพวกเขาก็ดูตรงข้ามกันสุด ๆ นอกจากเรื่องเสื้อผ้าแล้วยังมีพวกรสนิยมอื่น ๆ พวกเพลงที่ฟัง แต่น่าแปลก ทุกครั้งที่ต้องแต่งเพลงเอง เขามักชอบเพลงของอีกคนเสมอ ทั้งที่มันไม่ใช่แนวเขาเลยสักนิด

บอกแล้ว เหลืออย่างเดียวที่แจบอมยังไม่ได้ทำกับจินยอง คือแต่งงานกันไปให้จบ ๆ

“เอาตามนี้นะ ฉันบอกมาร์คละนะ” เขาไม่รอให้อีกฝ่ายตอบก็กดส่งข้อความเลย และจินยองก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อ เป็นอันตกลงทั้งคู่

ห้องอาหารกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง แจบอมไม่ได้รู้สึกอึดอัดกับมัน เวลาเขานั่งกับจินยองเป็นแบบนี้เสมอ ต่างคนต่างทำกิจกรรมของตัวเอง แต่นั่งอยู่ข้างกัน เราเลือกนั่งอยู่ในที่ที่เห็นอีกฝ่ายได้ง่ายที่สุด ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ ก็แค่เคยชินกับการทำแบบนี้

กับการอยู่เคียงข้างกัน

“พี่แจบอม”

เสียงจินยองเรียกเขา พอเงยหน้าจากมือถือขึ้นมาก็เห็นอีกฝ่ายใช้ตาใส ๆ จ้องมองเขาอยู่ “อ่านเล่มนี้หรือยัง”

เขาอ่านหน้าปก แล้วส่ายหัว “ดีไหม”

“ก็โอเค แต่ผมว่าพี่น่าจะชอบนะ”

“ถ้าเป็นแนวที่ฉันชอบ แสดงว่าต้องเป็นแนวที่นายแค่พออ่านได้แน่ ๆ เลย”

“รู้อีก”

จินยองหัวเราะ แล้วเราก็เงียบกันไปอีกรอบ

ไม่รู้ทำไม ครั้งนี้แจบอมวางมือถือลง และเท้าคางมองคนตรงหน้าอย่างตั้งใจ

จินยองเหลือบตามองเขาเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ให้จากหลังหนังสือเล่มหนา และปล่อยให้เขามองต่อไป

แจบอมรู้สึกจริง ๆ ว่าตัวเองสามารถมองหน้าคนตรงหน้าได้ตลอดชีวิต

 

 

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่คนที่เขาคิดว่าเป็น ‘น้องชาย’ เปลี่ยนสถานะมาเป็นอะไรสักอย่างที่ใกล้เคียงกับคำว่า ‘คู่ชีวิต’

ขาดอยู่อย่างเดียวคือพวกเขายังไม่ได้แต่งงานกัน

แต่มันไม่สำคัญหรอก

แค่ตอนนี้อยู่ด้วยกัน เคียงข้างกัน อยู่ในที่ที่เห็นกันและกันได้ใกล้ที่สุด และชัดเจนที่สุด

เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

 

END


 

20170524

ความผูกพันของคนที่อยู่เคียงข้างกันมาตลอดนี่ดีจริง ๆ นะคะ

ช่วงนี้ถึงจะพอว่างบ้างแล้ว แต่เพราะเจออะไรที่ไม่ค่อยดีกับสภาพจิตใจ 555 เลยใช้เวลามากเกินคาดกับการเขียนฟิคทั้งหลายที่ดองไว้

แต่ก็อยากเขียนให้จบนะคะ เปิดมาแล้ว ขอบคุณทุกคนที่คอยถามและทำท่าอยากอ่านต่อ ถึงจะทำได้เพียงอ่านตอนเดิมวนไปค่ะ ก็ตาม

แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ ❤

#wirunfic

[แปล] #DAY6 – Hi Hello

 

Korean Lyrics: genie
English translation: JYP Entertainment
Thai translation: wirunyupha

 

너는 너 나는 나
서로를 모른 채
살아왔었지만
안녕과 함께
이제는 너와 나
우리가 되었지

นอนึน นอ นานึน นา
ซอโรรึล โมรึน เช
ซัลราวัซซ็อซจีมัน
อันนยองกวา ฮัมเก
อีเจนึน นอวา นา
อูรีกา ทวีอ็อซจี

คุณคือ “คุณ”
ผมคือ “ผม”
เราต่างก็มีชีวิตอยู่มาโดยที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
ด้วยคำว่า “Hi”
ตอนนี้เป็นคุณกับผม
ตอนนี้กลายเป็น “เรา” แล้ว

나지막한 목소리로
약간의 떨림과
설레임도 함께
너의 앞에 다가가서
조심스러운 한마디
어렵게 꺼내봐요

นาจีมักคัน มกโซรีโร
ยักกันนี ต็อลริมกวา
ซ็อลเรอิมโด ฮัมเก
นอเอ อัพเพ ทากากาซอ
โชชิมซือราอุน ฮันมาดี
ออรย็อพเก กอเนบวาโย

ด้วยเสียงที่ต่ำกว่านี้
ด้วยอาการที่สั่นเล็กน้อย
ด้วยความตื่นเต้น
ผมเดินตรงเข้าไปหาคุณ
และเอ่ยคำนี้ออกไปอย่างระมัดระวังด้วยความลังเล

Hi (Hello)
너에게 건넬 때마다
날 설레게 하는 이 말
Hi (Hello)
이 말을 주고받고서
너와 나의 이야기를 시작해

Hi (Hello)
นอเอเก ค็อนเนล เตมาดา
นัล ซ็อลเรเก ฮานึน อี มัล
Hi (Hello)
อี มัลรึน ชูโกบัดโกซอ
นอวา นาเอ อียากีรึล ชีจักเค

Hi (Hello)
ไม่ว่าเมื่อไรที่เอ่ยคำนี้ักับคุณ
คำที่ทำให้ผมตื่นเต้น
Hi (Hello)
หลังจากได้เอ่ยคำนี้ให้แก่กันและกัน
เรื่องราวของพวกเราก็เริ่มต้นขึ้น

la lalalala
la lalalala
la lalalala

너에게 난 나에게 넌
아무 의미 없는
사이였겠지만
안녕과 함께
이제야 너와 난
하나가 되었어

นอเอเก นัน นาเอเก น็อน
อามู อึยมี อ็อบนึน
ซาอีย็อซเก็ซจีมัน
อันนยองกวา ฮัมเก
อีเจยา นอวา นัน
ฮานากา ทวีอ็อซจี

ถึงคุณ, ผม
ถึงผม, คุณ
ไม่เคยมีความหมายต่อกันมาก่อน
แต่ด้วยคำว่า “Hi”
ตอนนี้เราก็อยู่ด้วยกันแล้ว

반가움으로 가득 찬
표정을 하고서
나를 바라보는
너의 앞에 다가가서
사랑스러운 한마디
다시 또 꺼내봐요

พันกาอุมมือโร คาดึก ชัน
พโยจองอึล ฮาโกซอ
นารึล พาราโบนึน
นอเอ อัพเพ ทากากาซอ
ซารังซือราอุน ฮันมาดี
ทาชี โต กอเนบวาโย

ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข
คุณมองมาที่ผม
ผมเดินตรงเข้าไปหาคุณ
และเอ่ยคำที่น่ารักนี้อีกครั้ง ให้คุณ

Hi (Hello)
너에게 건넬 때마다
날 설레게 하는 이 말
Hi (Hello)
이 말을 주고받고서
너와 나의 이야기를 시작해

Hi (Hello)
นอเอเก ค็อนเนล เตมาดา
นัล ซ็อลเรเก ฮานึน อี มัล
Hi (Hello)
อี มัลรึน ชูโกบัดโกซอ
นอวา นาเอ อียากีรึล ชีจักเค

Hi (Hello)
ไม่ว่าเมื่อไรที่เอ่ยคำนี้ักับคุณ
คำที่ทำให้ผมตื่นเต้น
Hi (Hello)
หลังจากได้เอ่ยคำนี้ให้แก่กันและกัน
เรื่องราวของพวกเราก็เริ่มต้นขึ้น

마주 보는 것 하나만으로
이미 벅차 오르는데
이 말까지 하고 나면
난 행복에 겨워

มาจู โพนึน ก็อซ ฮานามันนือโร
อีมี พ็อกชา โอรือนึนเด
อี มัลกาจี ฮาโก นามยอน
นัน แฮ็งบกเค คยฺอวอ

แม้แต่การจ้องมองกันและกัน
ก็เกินขอบเขตของผม
หลังจากเอ่ยคำนี้ออกไป
ต้องมีความสุขมากแน่ ๆ

Hi (Hello)
너에게 건넬 때마다
날 설레게 하는 이 말
Hi (Hello)
이 말을 주고받고서
너와 나의 이야기를 시작해

Hi (Hello)
นอเอเก ค็อนเนล เตมาดา
นัล ซ็อลเรเก ฮานึน อี มัล
Hi (Hello)
อี มัลรึน ชูโกบัดโกซอ
นอวา นาเอ อียากีรึล ชีจักเค

Hi (Hello)
ไม่ว่าเมื่อไรที่เอ่ยคำนี้ักับคุณ
คำที่ทำให้ผมตื่นเต้น
Hi (Hello)
หลังจากได้เอ่ยคำนี้ให้แก่กันและกัน
เรื่องราวของพวกเราก็เริ่มต้นขึ้น

la lalalala
la lalalala
la lalalala

 


20170706

ไม่ได้แปลเพลงมานาน ฮือ ชอบเพลงนี้มากเลยค่ะ ทำนองดี๊ดี ฟังแล้วรู้สึกดีมาก

ไปฟังเพลงของ DAY6 กันเยอะ ๆ นะคะ ^^