บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย, Y, BL
หากไม่ชอบกรุณากดปิด
บทความนี้เป็นเพียงเรื่องแต่งซึ่งเกิดจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล เหตุการณ์ หรือสถานที่จริงใด ๆ ทั้งสิ้น
Rating: PG
Category: M/M
Fandom: GOT7
Relationships: JB/Mark, Jackson/Mark, Jinyoung/Mark
A Point
Wirunyupha
WARNING: Fem!Mark
Note: ชื่อตัวละครเป็นภาษาจีนทั้งหมดนะคะ ทวนกันก่อนอ่าน
มาร์ค = ต้วนอี๋เอิน
เจบี = หลินไจ้ฟ่าน
แจ็คสัน = หวังเจียเออร์
จินยอง = พู่เจินหรง
ยองแจ = ชุยหรงจ่าย
แบมแบม = ปันปัน
ยูกยอม = จินโหย่วเจียน
หน้าประตูห้องของประธานจินโหย่วเจียนในเวลานี้มีชายหนุ่มตำแหน่งสูงสามคนลอบเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ด้วยความระทึก คนหนึ่งคือหวังเจียเออร์ หัวหน้าแผนกการตลาด ที่วันนี้สวมเนกไทสีแดงสดใสแบบที่ได้ยินมาว่า เลขาฯ ต้วน ชอบนักหนา คนหนึ่งคือหลินไจ้ฟ่าน หัวหน้าแผนกการเงินที่วันนี้สวมแว่นตากรอบกลมแบบที่ได้ยินมาว่า เลขาฯ ต้วน ชอบใส่ และหัวหน้าแผนกประชาสัมพันธ์ พู่เจินหรง ที่วันนี้ลองใส่หูฟังยี่ห้อที่เคยเห็น เลขาฯ ต้วน ใช้ประจำ
ทั้งนี้ทั้งนั้น วันนี้ทั้งสามมาด้วยผมที่เซ็ตทรงเดียวกัน ผมสีเข้มเปิดหน้าผากให้เห็นโครงหน้าหล่อเหลาชัดเจน เป็นที่หมายปองของสาว ๆ ทั้งองค์กร ทว่าสามหัวหน้าแผนกกลับไม่มีสายตาไว้มองพนักงานหญิงคนไหนทั้งนั้น เพราะตอนนี้พวกเขาต่างมีเป้าหมายเดียวกัน
คือเลขานุการคนปัจจุบันของท่านประธานจิน
ต้วนอี๋เอิน
“…จะออกมาหรือยังนะ” หวังเจียเออร์พึมพำ หูแนบบานประตูไม้หนาหนักดีไซน์เรียบหรูของท่านประธานที่อายุน้อยกว่าเขาถึงสี่ปี ถ้าไม่ติดว่าเป็นลูกชายแท้ ๆ ของประธานคนก่อนคงไม่ได้มาดำรงตำแหน่งนี้หรอก เจียเออร์แอบเหยียดประธานคนปัจจุบันอยู่ในใจ แต่แสดงออกไม่ได้มาก เพราะเป็นที่เลื่องลือกันว่าฝีมือการบริหารของเขาเฉียบคมเสียยิ่งกว่าคนพ่ออีก
“ฉันว่าเสียงท่านประธานเงียบไปแล้ว” หลินไจ้ฟ่านออกความเห็นบ้าง ผละออกจากบานประตูอย่างระมัดระวัง เหลือบมองหน้าสหายร่วมรบที่เป็นศัตรูหัวใจไปด้วยในตัวแล้วก็พูดต่อ “ฉันว่าเราควรรีบไป”
“อีกสองนาทีสิบเอ็ดโมงครึ่ง” พู่เจินหรงที่นั่งยอง ๆ อยู่ห่างออกไปไม่กี่ฟุตมองนาฬิกาแล้วว่า “ถึงตอนนั้นท่านประธานจะออกไปกินข้าวเที่ยง”
“แล้วเลขาฯ ต้วนจะออกมาเลยไหมนะ”
“หรือจะออกไปกินข้าวกับประธาน?”
“เฮ้ย! ไม่ได้สิ เราต้องชวนเขาไปให้ได้…”
เสียงของหัวหน้าหวังเงียบหายไปเพราะประตูที่เคยปิดสนิทแง้มเปิดออกอย่างแผ่วเบา พวกเขาพร้อมใจกันผงะถอยแล้วยืดตัวตรงแน่วเหมือนทหารรอรับคำสั่งทันที คนที่ออกมาคือประธานจินโหย่วเจียนที่มองมาทางพวกเขาอย่างประหลาดใจ
“อ้าว พวกพี่ มาทำอะไรกันตรงนี้ครับ”
“สวัสดีครับ ประธานจิน”
พวกเขาทักทายได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ ให้กับคำถามนั้น ก่อนจะเหลือบไปเห็นคนที่กำลังเดินตามหลังประธานออกมาและปิดประตูอย่างเรียบร้อย เพียงแค่เห็นลาดไหล่เล็กใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดพวกเขาก็แทบหยุดหายใจ
ต้วนอี๋เอินผละออกจากบานประตูหันกายมามองพวกเขา ปลายผมสีดำสนิทที่ยาวถึงกลางแผ่นหลังพลิ้วไหวตามการขยับกาย นิ้วเรียวข้างหนึ่งยกขึ้นทัดผมที่ปรกหน้า เผยนัยน์ตาสีนิลใสราวกับลูกกวางน้อยใต้แพขนตายาว และริมฝีปากอิ่มที่แย้มยิ้มให้เห็นฟันขาวสะอาดและเขี้ยวเล็ก ๆ ทั้งสอง
“หัวหน้าหวัง หัวหน้าพู่ หัวหน้าหลิน สวัสดีค่ะ”
เพียงได้ยินคำทักทาย สามหัวหน้าแผนกก็แทบจะวิญญาณหลุด แต่ก็ต้องเรียกสติตัวเองกลับมาทักทายนางฟ้าตรงหน้าก่อน
“ส…สวัสดีครับ เลขาฯ ต้วน!”
จินโหย่วเจียนลอบยิ้มขำกับท่าทางนั้น ก่อนหันไปสั่งงานเลขานุการของตนอีกรอบ
“คุณต้วน เดี๋ยวผมจะออกไปข้างนอกกับปันปัน” เขาหันไปยิ้มใส่หน้าตาสดชื่นเหมือนได้รับน้ำทิพย์หล่อเลี้ยงของสามหัวหน้า “ถ้ามีอะไรส่งข้อความมาบอกผมนะครับ”
“ค่ะท่านประธาน”
เธอตอบอย่างนอบน้อม และมองส่งกระทั่งประธานจินหายลับเข้าลิฟต์ไป หญิงสาวจึงหันกลับมาหาสามหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง
“มีอะไรกันเหรอคะ”
สามหัวหน้ามองหน้ากัน แล้วรีบพูดทันที
“พี่ต้วน! ไปกินข้าวกับพวกผมเถอะ!”
เจ้าของสรรพนามนั้นเลิกคิ้ว ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาข้อมือตัวเองแล้วพยักหน้ารับ
“เอาสิ ที่โรงอาหารก็ได้”
เลขานุการคนเก่งของประธานบริษัทจินโหย่วเจียนเป็นสาวสวยที่ชายหนุ่มทั้งบริษัทหมายปอง แต่อุปสรรคชิ้นใหญ่ของทุกคนคือท่านประธานที่ท่าทางสนิทสนมกับเลขาฯ เหลือเกิน และที่สำคัญคือสามหัวหน้าแผนกที่ล้อมหน้าล้อมหลังคุณเลขาฯ เป็นหมาเฝ้าเจ้าของ เห็นแล้วก็น่ารำคาญ แต่อีกใจก็เป็นที่สนอกสนใจกันว่า ใครกันจะได้หัวใจของคุณเลขาฯ ไป
ต้วนอี๋เอินเข้ามาทำงานที่บริษัทได้หกเดือนแล้ว ตลอดครึ่งปีที่ทำหน้าที่เลขาฯ เธอทำงานได้ดีเยี่ยม ได้รับคำชมจากทุกฝ่าย บริหารจัดการเวลาของประธานและติดต่อกับฝ่ายอื่น ๆ ได้อย่างเหมาะสม คนเอ็นดูกันทั้งบริษัท แม้จะจบจากมหาวิทยาลัยในแคลิฟอร์เนีย เป็นสาวหัวนอกแบบที่หลายคนกลัวกันว่าจะไม่ยอมโอนอ่อนให้กับคนหัวเก่าทั้งหลาย แต่เมื่อได้ทำงานร่วมกันจึงพบว่าเธอเป็นคนนอบน้อมกว่าที่คิด และมีเสน่ห์แบบที่ยากจะเกลียดได้ลง
ต้วนอี๋เอินตกเป็นเป้าหมายของสามหัวหน้าแผนกตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาแนะนำตัว สามหัวหน้าที่ตลอดมาต่างเป็นคู่แข่งของกันและกันและขัดขากันเองอยู่บ่อยครั้ง พอต้องมาเป็นศัตรูหัวใจกัน จากที่แย่งกันแทบตาย สุดท้ายตอนนี้กลายเป็นว่าสนิทสนมกันเพราะเจอกันบ่อยและปรับทุกข์เรื่องจีบเลขาฯ ไม่ติดสักทีจนรู้จักกันทะลุปรุโปร่ง
“พี่ต้วนกินอะไรเหรอ”
หวังเจียเออร์ถามทันทีที่เห็นอาหารในถาดของคุณเลขาฯ แม้พวกเขาจะมีตำแหน่งสูงในบริษัท แต่ก็ยังพึ่งพาท้องไส้ไว้กับโรงอาหารภายใน
“ก็ผัดผักนี่แหละ ไม่รู้จะกินอะไร” ต้วนอี๋เอินตอบยิ้ม ๆ รอจนทุกคนนั่งลงพร้อมกันจึงเริ่มจัดการอาหารของตัวเอง
เมื่อก่อนพวกเขาสามคนเคยแย่งกันไปตักอาหารให้คุณเลขาฯ สุดท้ายโดนดุและเธอบอกว่า ตักเองได้ เลยต้องตัดใจ เปลี่ยนมานั่งกินข้าวด้วยกันแทน ช่วงแรก ๆ กินกันไปเขม่นกันไป จนตอนหลังกลายเป็นนั่งคุยกันเหมือนไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน
แต่ถึงแม้จะบอกว่าคุยกันเหมือนเพื่อน ทว่าลึก ๆ แล้วพวกเขาสามคนก็ยังแข่งกันอยู่ว่าใครจะได้ใจคุณเลขาฯ ไปครอง การกินข้าวกลางวันด้วยกันเป็นช่วงที่แข่งกันทำคะแนนได้ง่ายที่สุด และคนที่จะทำแต้มแรกของวันนี้ก็คือ…
“อันนี้อร่อยนะ” ขวดแก้วสีชมพูอ่อนวางลงตรงหน้าต้วนอี๋เอิน “น้องสาวฉันซื้อมาฝากจากเกาหลี”
หลินไจ้ฟ่าน
ราวกับได้ยินเสียงระฆังบอกศึกดังขึ้น เจินหรงและเจียเออร์เหลือบมองกัน แล้วหันไปมองท่าทีเหมือนไม่รู้สึกอะไรของไจ้ฟ่าน ขณะที่ต้วนอี๋เอินยิ้มหวานรับ
“ขอบคุณนะ พี่ชอบนมสตรอว์เบอร์รี่มากเลย”
วางท่าเป็นเย็นชา ชิคมากเหรอ!
เจินหรงกับเจียเออร์เขม่นอยู่ในใจ
“เอ่อ พี่ต้วน” เจินหรงเอาบ้าง “อาทิตย์นี้มีหนังใหม่เข้านะ ผมได้ตั๋วฟรีมา ไปดูกันไหม”
“พี่เหรอ” ต้วนอี๋เอินทำตาโตอย่างสนใจ น่ารักมาก สามหัวหน้าแผนกคิด “ทำไมชวนพี่ล่ะ”
“ก็เห็นพี่บอกว่าชอบหนังค่ายนี้ ผมไม่เคยดูภาคอื่นมาก่อนเลย เล่าให้ฟังหน่อยสิ”
“อ๋อ เรื่องนั้นเอง…”
ร้ายกาจนัก พู่เจินหรง! หวังเจียเออร์ตวัดสายตาไปมอง แอบเห็นท่าทางยิ้มเยาะของเจ้าหัวหน้าแผนกประชาสัมพันธ์ที่ส่งมาตอนพี่ต้วนไม่เห็นด้วย
จังหวะที่คุณเลขาฯ กำลังจะเริ่มเมาท์เรื่องหนังและน่าจะติดลมในเร็ว ๆ นี้ หวังเจียออร์ก็ทำสิ่งที่ทำเอาทุกคนอ้าปากค้าง
โดยการยื่นมือไปจับผมของคุณเลขาฯ ที่เกือบจะลงจานอาหารไปแล้ว
“ระวังเลอะนะพี่”
ไจ้ฟ่านกับเจินหรงอ้าปากค้าง
ต้วนอี๋เอินกะพริบตาปริบ ๆ “…ขอบคุณมาก” แล้วก็หยิบยางมัดผมมารวบผมขึ้นเป็นหางม้า
พอสบโอกาส หัวหน้าแผนกการเงินกับประชาสัมพันธ์ก็กระชากหัวหน้าแผนกการตลาดมากระซิบด่าอย่างบ้าคลั่ง
“ทำบ้าอะไรของแก๊!”
“ไหนว่าจะไม่แตะเนื้อต้องตัวจนกว่าจะตกลงปลงใจไง แกเล่นนอกกติกา!”
หวังเจียเออร์ยักไหล่ “ก็เห็นผมพี่เขาจะเปื้อนแล้วก็ช่วยปัดออกให้ ผิดอะไรล่ะ”
อีกสองคนแทบจะกินหัวเจียเออร์เข้าไป จนได้ยินเสียงต้วนอี๋เอินดังขึ้นอีกรอบ
“นี่ ไม่กินกันต่อหรือไง เดี๋ยวไปทำงานไม่ทันนะ”
“ค…ครับ”
พวกเขาสลายตัวกันอีกรอบ กลับมาตั้งหน้าตั้งตากินเหมือนเมื่อครู่ไม่ได้เกิดสงครามย่อม ๆ ขึ้น
มื้อเที่ยงผ่านพ้นไป ต่างคนต่างแยกย้ายกลับไปทำงาน หลินไจ้ฟ่านหยิบเอกสารเตรียมไปส่งให้คุณเลขาฯ เหมือนที่ทำประจำ แต่เมื่อไปที่โต๊ะกลับพบว่าเจ้าตัวไม่อยู่เสียอย่างนั้น
“น้องหรงจ่าย” เขาถามชุยหรงจ่ายผู้ช่วยเลขาหน้าตาน่ารักอีกคน “…เลขาฯ ต้วนล่ะ?”
“พี่ต้วนไปเข้าห้องน้ำค่ะ เดี๋ยวก็มาแล้ว เอกสารวางไว้ตรงนั้นก็ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูบอกพี่เขาให้”
ไจ้ฟ่านพยักหน้ารับรู้แล้วเดินออกไป ขณะที่จะกลับไปที่แผนกตัวเองก็นึกได้ว่าต้องเดินผ่านห้องน้ำหญิง เลยอดไม่ได้ที่จะเดินให้ช้าลง เผื่อจะเพิ่มความเป็นไปได้ที่จะบังเอิญเจอกับคนที่เขาอยากเจอ
แล้วก็เป็นดังคาด
ต้วนอี๋เอินเดินออกมาจากห้องน้ำ ตรงมาตามทางเดิน ผมยาวยังคงมัดรวบไว้เหมือนเดิม พอเห็นหน้าเขาก็ยิ้มให้เล็กน้อย
“ชอบของฝากของผมไหม”
เขาพูดรั้งไว้ อี๋เอินชะงักฝีเท้า ไจ้ฟ่านมองขาเรียวใต้ถุงน่องสีเข้มและรองเท้าส้นสูงสีดำสนิทแล้วก็กลับมามองใบหน้าสวยตรงหน้าอีกครั้ง
อี๋เอินเอียงคอเล็กน้อย เห็นปอยผมบางส่วนระไหล่ “อร่อยดีนะ”
“แปลว่าชอบใช่ไหม”
“อืม” แล้วก็ยิ้มจนตาหยี “ชอบมากเลยล่ะ”
ไจ้ฟ่านมองรอยยิ้มสดใสนั้นแล้วถอนหายใจ
“หมายถึงนมใช่ไหม”
อี๋เอินยักไหล่ ทำท่าจะเดินหนีไป แต่เขาหยุดอีกฝ่ายไว้ด้วยคำพูดสั้น ๆ
“เดี๋ยว”
เธอทำท่าจะหันกลับมา แต่ไม่ทันมือของเขาที่ยื่นออกไปก่อน และรูดยางมัดผมเส้นนั้นลงมา กลุ่มผมที่ถูกรวบไว้หลวม ๆ หลุดลงสยายเต็มแผ่นหลัง และสะบัดกลับไปตามจังหวะการหันมาของเจ้าของ
ต้วนอี๋เอินเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง
หลินไจ้ฟ่านยิ้มมุมปาก “แบบนี้สวยกว่านะ หลังคอพี่น่ะอย่าให้ใครเห็นเลย”
หลินไจ้ฟ่าน 1 แต้ม
“ตรงนี้น่าจะต้องเพิ่มอะไรเข้าไปหน่อย ผมว่ามันน่าเบื่อไป” พู่เจินหรงเคาะแผ่นกระดาษที่ลูกน้องเสนอมา “เดี๋ยวเปลี่ยนสีตัวอักษรนิดนึงด้วย ผมขอไปชงกาแฟแป๊บนึง”
ชายหนุ่มผละออกจากห้องทำงาน ตรงไปที่ห้องชงกาแฟที่อยู่ส่วนกลางของชั้น เมื่อเดินเข้าไปก็เจอคุณเลขาฯ กำลังชงกาแฟอยู่เงียบ ๆ
“พี่ต้วน” เขาทักเสียงเบา เจ้าของชื่อหันมายิ้มให้นิดหน่อย
“ไง เจอกันอีกแล้ว”
“ชงกาแฟให้ประธานจินเหรอครับ”
“อืม” ว่าแล้วก็หยุดคนช้อนกาแฟ “น่าจะโอเคแล้ว”
“พี่ชงกาแฟอร่อยเหรอ เคยได้ยินประธานชม”
“ไม่รู้สิ” เจ้าตัวยักไหล่ “ก็ชงให้เขากินคนเดียว ไม่รู้อร่อยจริงไหม”
“ถ้าไม่อร่อยเขาก็บอกให้เลิกชงแล้ว”
“ก็จริง”
พวกเขาหัวเราะกันเบา ๆ ก่อนที่เจินหรงจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“เอ้อ พี่ เพลงใหม่ของวงที่ผมเคยให้พี่ยืมแผ่นไปฟังแล้วพี่บอกว่าชอบน่ะ” เขาหยิบมือถือออกมาเสียบหูฟังยี่ห้อที่เคยเห็นต้วนอี๋เอินใช้ “ลองฟังไหม ผมโหลดมาแล้วนะ”
“แป๊บเดียวนะ”
“ฟังเพลงมันไม่ได้นานขนาดนั้นหรอกน่า”
เจินหรงไม่ได้ยื่นหูฟังให้อีกฝ่ายเสียบเอง แต่กลับปัดผมที่ปรกใบหูเล็กออกเบา ๆ แล้วเสียบหูฟังให้อย่างระมัดระวัง ก่อนจะกดเปิดเพลงทันทีโดยไม่ให้จังหวะคนตรงหน้าร้องประท้วงอะไร
ทำนองดนตรีที่ดังขึ้นทำให้คุณเลขาฯ เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะหันมามองเขาด้วยสายตาเป็นประกาย
“เพราะมากเลย”
“ใช่ไหมล่ะ”
“ชอบจัง”
“อืม” เขามองคนตรงหน้า “ผมก็ชอบ”
พู่เจินหรง 1 แต้ม
“ถ้าจะไปยิม ผมไปส่งได้นะ”
หวังเจียเออร์หยุดอยู่ตรงทางเดิน ขวางต้วนอี๋เอินที่เพิ่งเลิกงานและกำลังจะเดินไปขึ้นรถไฟ
เธอทำหน้างงใส่เขา “รู้ได้ยังไงว่าวันนี้พี่ไม่ได้เอารถมา”
“เมื่อเช้าผมเห็นน่ะ” ว่าแล้วก็เดินนำไปที่จอดรถ “มาสิ”
พอขึ้นมาบนรถ ชายหนุ่มหรี่แอร์ลงไม่ให้เย็นมากนัก ต้วนอี๋เอินงุ่นง่านอยู่กับการคาดเข็มขัดนิรภัย เขาจึงอดไม่ได้หันไปกดมันใส่ตัวล็อกให้ เลขาฯ ต้วนขอบคุณเสียงเบา แล้วนั่งหลังเหยียดตรงแบบที่ทำประจำ มองตรงไปยังทางเบื้องหน้า
“แล้วพี่จะกลับยังไง”
“พี่มีนัดกินข้าวเย็นกับครอบครัวประธานต่อ เดี๋ยวท่านคงไปส่ง”
“อ๋อ”
เจียเออร์พึมพำพอรับรู้ ขณะเคลื่อนรถไปตามถนน รถวันนี้ติดกว่าปกติแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นว่าเคลื่อนที่ไปไหนไม่ได้ แป๊บเดียวพวกเขาก็มาถึงยิมประจำของต้วนอี๋เอินแล้ว
“วันนี้ไม่เข้ายิมเหรอ” ต้วนอี๋เอินถามเมื่อเห็นเขาไม่ลงจากรถ เจียเออร์ยิ้มกว้าง
“วันนี้ผมมีธุระต่อน่ะ ทำไม เกิดอยากเจอหน้าผมขึ้นมาหรือไง”
“เปล่า” เธอตอบเสียงเรียบ ๆ “ตอนแรกว่าจะติดรถไปร้านอาหารด้วย”
“อ้าว” เจียเออร์เหวอไป “งั้นเดี๋ยวผมวนมารับก็ได้นะ”
“จะบ้าหรือไง ไปทำธุระของนายสิ” ต้วนอี๋เอินขมวดคิ้ว “ฉันหาทางไปต่อเองได้น่า ไม่ใช่เด็กแล้วนะ”
“ยังไงพี่ก็เป็นผู้หญิง…”
“ที่ได้เทควันโดสายดำ”
“…”
เจียเออร์ลืมข้อนี้ไปเสียสนิทเลย ผู้หญิงสมัยนี้นี่อันตรายจริง ๆ
“แต่ยังไงผมก็ห่วงพี่อยู่ดี” เขาขยับเข้ามาใกล้ “ไม่ใช่แค่ในฐานะรุ่นน้องร่วมบริษัท พี่รู้ใช่ไหม”
“…”
“ทั้งผม เจินหรง หรือไจ้ฟ่าน”
ต้วนอี๋เอินปลดเข็มขัด และเปิดประตูรถลงไป
เมื่อเธอปิดประตู เจียเออร์ลดกระจกลง หญิงสาวด้านนอกยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน
“ขอบคุณที่มาส่ง”
“อืม ผมเต็มใจน่ะ”
“อืม”
“…ผมเป็นห่วงพี่นะ”
“ขอบคุณ”
“มีอะไรโทร.หาได้นะ” แล้วก็กำชับอีกรอบ “โทร.หาผมนะ ไม่ใช่มันสองคน”
อี๋เอินถอนหายใจ “พวกนายเนี่ยน้า…”
“แล้วเจอกันนะพี่”
“ไว้เจอกัน”
เจียเออร์ขับรถออกไปแล้ว อี๋เอินมองส่งจนลับตาจึงเดินเข้าไปในตัวอาคาร แต่ทันใดนั้นเธอก็นึกอะไรขึ้นมาได้ หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดเปิดแอปบันทึกของตัวเอง แล้วพิมพ์ข้อความลงไป
สำหรับความเป็นห่วงที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนตะกี้
“หวังเจียเออร์ 1 แต้ม”
FIN…
20170601
ห้วนไปหน่อย คือพิมพ์ ๆ อยู่หันมามองนาฬิกาแล้วตกใจ ไม่ได้ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า 5555555555
จริง ๆ ฟิคนี้เป็นฟิคแก้บนค่ะ สัญญาว่าจะเขียนหลังจากได้ดูกัซแจ็คสันโชว์ตอนปมมัค
เขียนให้มาร์คอ่อยเรี่ยราดนี่สนุกดีนะคะ
ชอบคนไหนเชียร์คนไหนมาบอกกันได้ในแท็ก 55555555
เจอกัน
#wirunfic