PRIMARY COLOR: Part I – RED (Jackson x Mark)

Fandom: GOT7

Category: M/M

Relationship: Jackson Wang/Mark Tuan (Jark)

 

PRIMARY COLOR

PART I:

 

E D

 

Red is the color of fire and blood, so it is associated with energy, war, danger, strength, power, determination as well as passion, desire, and love. Red is a very emotionally intense color. It enhances human metabolism, increases respiration rate, and raises blood pressure.

 

1

 

“เชี่ย…”

มาร์คสบถกับตัวเองอยู่ในมุมมืดของตรอกแห่งหนึ่ง

เขาหลบอยู่หลังลังไม้ระเกะระกะที่ตอนเจ้าของวางทิ้งไว้คงไม่คิดหรอกว่าวันหนึ่งมันจะกลายเป็นที่หลบภัยชั้นเยี่ยม มองลอดผ่านซี่ไม้ที่เปราะแตกเพื่อสังเกตการณ์สภาพโดยรอบ เขายังได้ยินเสียงของพวกมัน ที่สำคัญเขายังเห็นโจทก์เก่ายืนจังก้าถือไม้เบสบอลอันยักษ์อยู่หน้าตรอก

“จับมันให้ได้!” เสียงตวาดลั่นจนคนอยู่ห่างออกมาอย่างมาร์คยังได้ยินชัด คนที่โดนตะคอกใส่คงหูบอดไปแล้ว “มันอยู่ตัวคนเดียว! ยังไงก็ต้องหาเจอ! กูจะฆ่ามัน!”

มันที่พวกมันว่าก็ไม่พ้นเขาที่หลบอยู่นี่แหละ มาร์ครู้ดีว่าคำว่า ‘ฆ่า’ ของหมอนั่นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น มันกะเอาเขาตายจริง ๆ ดูจากสภาพการณ์แล้วถ้าไม่เตรียมตัวดี ๆ แล้วสุ่มสี่สุ่มห้าออกไป คงได้เป็นศพอยู่หลังลังไม้นี่แหละ

มาร์คผ่อนลมหายใจ สำรวจบาดแผลที่ตัวเองได้รับแล้วพบว่ามีแค่รอยถลอก แค่นี้ทนได้ สบายมาก อาวุธในมือเขาก็มีอย่างเดียว คือไม้เบสบอลที่แอบหยิบมาได้จากหนึ่งในพวกมัน ทั้งตัวเขาก็มีแค่นี้

พวกมันมีกันราวยี่สิบคน

มาร์คตัวคนเดียว

ผ่านไปได้ก็ปาฏิหาริย์ล่ะวะ

ไม่ต้องคิดถึงเรื่องความยุติธรรม พวกมันหมาหมู่แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือมาร์คควรจะโทษตัวเองดีที่ผ่านมาสองปีแล้วก็ยังไม่มีเพื่อนที่จะต่อยตีกับพวกนี้ได้

แต่เขาก็ไม่ได้อยากจะมาต่อยตีกับใครนี่หว่า สถานการณ์พาไปทั้งนั้น

อย่างไอ้หมาบ้าที่ยืนจังก้าทำหน้าเหมือนจะฆ่าคนที่ลักษณะคล้ายเขาอยู่ตลอดเวลานั่น… มันชื่อ อิมแจบอม หรือที่พวกเด็กแก๊งเรียกกันว่า เจบี มาร์คสาบานว่าไม่ได้อยากทำความรู้จักกับหมอนี่เลย ไม่อยากให้มันมารู้จักเขาด้วย แต่ไม่รู้อิท่าไหน เขาโดนหมอนี่หมายหัว… มาร์คคิดดูแล้วอาจจะเพราะเรื่องที่เขาเป็นเด็กต่างชาติที่เพิ่งย้ายมา? แต่มันก็ดูไม่มีเหตุผลพอให้แจบอมจงเกลียดจงชังเขาขนาดนั้น เพราะงั้นจนถึงตอนนี้มาร์คก็ยังไม่รู้ว่าทำไมแจบอมถึงจ้องจะกระซวกไส้เขาทุกครั้งที่เห็น

แล้ววันนี้แค่ออกมาซื้อข้าวให้จินยอง เขาก็ต้องภาวนาให้ตัวเองรอดกลับไปเลยเหรอ นี่กูมาซื้อข้าวหรือมารบวะเนี่ย

มาร์คหยิบมือถือขึ้นมา กดส่งข้อความหาจินยองว่า ข้าวอาจจะได้ช้าหน่อย ก่อนจะเก็บมือถือแล้วผ่อนลมหายใจช้า ๆ

เอาวะ ไม่มีทางเลือก

ถ้าไม่ลุยก็ต้องรอจนกว่าจะไป แล้วพลังหมาบ้าของแจบอมนี่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ตรงนั้นอีกกี่ชั่วโมง ยังไงเขาก็ต้องไปอยู่ดี

โชคดีเหลือเกินที่วันนี้มาร์คหยิบเสื้อมีฮู้ดมาด้วย ไม่อย่างนั้นผมของเขาคงเตะตาชนิดที่ว่า มองจากปูซานยังไงก็เห็นประกายสีแดงเพลิงของผมของเขาในโซล เขายกฮู้ดขึ้นคลุมศีรษะ มองซ้ายมองขวาอีกรอบ จากตรงนี้จนถึงหน้าตรอก มีมุมอับให้พอหลบอยู่สองสามจุด ถ้าทำดี ๆ ยังไงก็น่าจะพ้น

เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะนับหนึ่งถึงสามในใจ พอแจบอมหันหลังให้ ก็รีบพุ่งตัวตรงไปที่มุมอับอีกมุมหนึ่งทันที

ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีแต่เหมือนมาร์คเพิ่งใช้เวลาไปทั้งชีวิต เขาชะโงกหน้าออกจากมุมอับเพื่อมองที่ทางอีกครั้ง แจบอมยังอยู่ที่เดิม และกำลังคุยกับลูกกระจ๊อกคนหนึ่งอยู่

ข้อเสียเปรียบอันใหญ่หลวงของมาร์คที่มีต่อแจบอม กรณีที่ต้องปะทะกันแบบหนึ่งต่อหนึ่ง คือขนาดตัว… แจบอมตัวใหญ่กว่าเขา แบบที่ถ้ายืนข้าง ๆ กันมาร์คก็เหมือนผู้หญิงไปเลย คนบ้าอะไรไหล่กว้างขนาดนั้น เหวี่ยงเขาทีไม่ลอยไปถึงข้ามจังหวัดไปเลยเหรอ

ไม่มีเวลาให้เขาคิดเยอะ มาร์คอาศัยจังหวะอีกครั้งที่แจบอมหันหลังไปพุ่งตัวออกมาอีกฝั่งเพื่อจะหลบไปยังมุมอับอีกตำแหน่ง แต่เหมือนรอบนี้พระเจ้าจะไม่เข้าข้างเขา

นัยน์ตาคมกริบของอิมแจบอมตวัดมาทางเขาทันที

แล้วมาร์คก็ตัดสินใจวิ่งสวนออกมาจากในตรอกอย่างคนดับเครื่องชน เขากำอาวุธในมือแน่น คิดแต่ว่าใครพุ่งเข้ามาฟาดกูก็เอาตายเหมือนกันวะ หลังจากฟัดกับลูกกระจ๊อกไปสองสามคน มาร์คก็รีบมองหาโอกาสที่จะหนีโดยไม่ต้องเจอกับบอสใหญ่อย่างแจบอม แต่ทำยังไงก็ไม่ได้โอกาสนั้นสักที

ไอพวกนี้! อย่ามาวุ่นวายได้ไหมเนี่ย!

มาร์คพยายามหลบไม่ให้ตัวเองมีแผล ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมาด้วยสนับมือ ไม้เบสบอล หรือไม้หน้าสามอะไรก็ตาม ถ้าเขามีแผลจินยองต้องมีคำถาม และเขาไม่อยากโกหกจินยอง เพราะถ้าจินยองจับได้ เขาอาจจะตายเร็วกว่าตอนนี้ก็ได้

จินยองเกลียดการใช้กำลัง ซึ่งมาร์คก็ไม่ได้ชอบมันนักหรอก แต่เผอิญว่าร่างกายเขาพอมีทักษะ ถึงอย่างนั้นจินยองก็พยายามขัดขวางทุกวิถีทางไม่ให้เขาได้ใช้ทักษะนี้ และพร่ำบอกยองแจตลอดว่าอย่าเอาเขาเป็นเยี่ยงอย่าง แต่ยองแจก็มักจะเยินยอเขาว่า เป็นคนที่แข็งแกร่งท่ามกลางสังคมที่พร้อมจะเนรเทศคนอย่างเขาออกไปได้ตลอดเวลา

ก็ถ้าไม่สู้ก็อยู่ไม่ได้สิ

มาร์คฟาดลูกกระจ๊อกอีกสามคนไปด้วยหลังมือ เท้า และไม้เบสบอล (แค่พอสลบ เขายังไม่อยากติดคุกข้อหาฆ่าคนตาย) และตอนนี้อิมแจบอมกำลังจะพุ่งมาหาเขา

เขากำลังเตรียมตั้งการ์ด ทว่าทันใดนั้นเขาก็ถูกใครไม่รู้กระชากแขนให้วิ่งไปอีกทาง มาร์คเหวอ เขาหันกลับไปเห็นอิมแจบอมมองด้วยความตกใจ ก่อนที่มาร์คจะหันกลับมาทางคนที่ดึงเขาไปอีกครั้ง

พอเห็นแผ่นหลังแน่น ๆ กับขนาดตัวที่พอ ๆ กันแล้วมาร์คก็อ้าปากค้าง

แจ็คสัน หวัง?

 

 

 

 

 

มาร์คย้ายมาอยู่ที่เกาหลีเมื่อสองปีก่อน ตอนที่ครอบครัวของเขาแตกแยกกันจนเขาโดนเนรเทศมาอยู่ที่นี่กับญาติห่าง ๆ ซึ่งเอาเข้าจริงก็แทบไม่ได้ดูแลอะไรเขาเลยนอกจากให้ที่พัก จับเขาเข้าโรงเรียน และให้เงิน ไม่มีการดูแลอย่างคนในครอบครัว เป็นเหมือนการเอาเงินฟาดให้เขาทำตัวสงบ ๆ และอย่าแจ้นกลับไปที่อเมริกาอีก

มาร์คคิดว่าชีวิตที่เกาหลีคงไม่ได้แย่มาก อย่างน้อยเขาก็เรียนในโซล แต่เขากลับคิดผิด… มาร์คมองโลกในแง่ดีเกินไปหน่อย เขาโดนเพื่อนร่วมชั้นมองด้วยสายตาแปลก ๆ ตั้งแต่ที่พูดเกาหลีไม่่ค่อยได้ แล้วก็เริ่มโดนคนอื่นแอนตี้ เริ่มจากการรังแกเล็ก ๆ น้อย ๆ จนถึงขั้นเอาโต๊ะเรียนของเขาไปซ่อน และทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะมาร์คแตกต่างจากพวกเขามากเกินไป

อาจเป็นโชคร้ายของมาร์คที่โดนแกล้งเสียเยอะ และโดนบีบให้ลาออกตลอดเวลา จากเด็กร่วมชั้นเดียวกัน แต่มาร์คโชคดี… ตรงที่ก่อนจะย้ายมาอยู่เกาหลี เขาก็ไม่ใช่เด็กเนิร์ดสักหน่อย

หลังจากโดนเหยียดเรื่องนู่นนี่นั่นอยู่พักหนึ่ง มาร์คเลยคิดว่า ไหน ๆ ก็จะแตกต่างกันแล้ว ก็เอาให้มันสุดไปเลย เขาเลยไปย้อมผมเป็นสีแดงเพลิงจนครูที่ปรึกษาเรียกพบ แต่มาร์คก็ไม่ได้คิดจะแก้ เขาทำเป็นฟังภาษาเกาหลีไม่รู้เรื่อง พอครูโทร.ไปหาผู้ปกครองเขา ฝ่ายนั้นก็ตอบปัด ๆ มาว่าช่างเถอะ พอแก้ไขอะไรไม่ได้ เลยต้องปล่อยเลยตามเลย

รู้สึกตัวอีกที จากที่กลายเป็นคนโดนแกล้ง มาร์คก็มาอยู่ในจุดที่ไม่มีใครกล้าซี้ซั้วแกล้งเขาอีก

แม้จะโดนคนอื่นมองด้านลบ แต่มาร์คก็ไม่ได้สนใจ เพราะยังไงคะแนนในห้องเรียนเขาก็ดีมาก ถึงเขาจะทำท่าพร้อมมีเรื่องตลอดเวลา แต่เขาก็เรียนเก่งกว่าพวกที่ยกโต๊ะเขาออกไปแล้วกัน

สองปีของมาร์คเป็นแบบนั้น โชคดีที่ไม่ได้โดดเดี่ยวนัก เพราะเขามีจินยองกับยองแจ

พอจบเทอมแรก มาร์คขอย้ายออกมาอยู่ข้างนอก ซึ่งที่บ้านก็ไม่ได้ว่าอะไร อย่างว่า… เลี้ยงเขาด้วยเงิน ตอนที่กำลังหาที่พัก พัคจินยอง หัวหน้าห้องของเขาเอง ก็ชวนให้ไปอยู่บ้านเช่าด้วยกัน โดยมีชเวยองแจรุ่นน้องโรงเรียนศิลปะอีกคนอยู่ด้วย

แล้วครอบครัวของมาร์คก็กลับมาอีกครั้ง พวกเขาสามคนอยู่กันเหมือนพี่น้อง ไม่ว่าตอนอยู่ข้างนอกจะมีเรื่องบ้าบอขนาดไหน แต่พอกลับไปถึงบ้าน พวกเขาก็อยู่กันได้อย่างสบายใจ

แล้ววันหนึ่ง ก็มีนักเรียนใหม่ย้ายเข้ามาอีกแล้ว

มาร์คเหมือนเห็นภาพตัวเองตอนย้ายมาวันแรก แต่วันนี้เปลี่ยนเป็นเขาที่นั่งอยู่แทน คนที่ย้ายมาใหม่เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเอาการ ตาโตคม ผมสีดำสนิท หน่วยก้านดูดีแบบนักกีฬา

เขาบอกว่าชื่อ แจ็คสัน หวัง มาจากฮ่องกง

แน่นอนว่าแจ็คสันไม่ต่างกับเขาช่วงแรก ๆ คือมีปัญหาด้านการสื่อสารภาษาเกาหลี

มาร์คคิดว่าแจ็คสันคงโดนไม่ต่างกับเขา ต้องโดนแกล้งแน่ ๆ ซึ่งก็จริง… แต่ผ่านไปแค่สองอาทิตย์ แจ็คสันก็กลายเป็นคนที่สนิทกับทุกคนในโรงเรียนไปโดยปริยาย

ไม่รู้ปรับตัวยังไงของมัน

แล้วมาร์คก็ไม่ได้สนใจอะไรผู้ชายคนนั้นอีก เพราะแม้จะอยู่ห้องเดียวกัน แต่ปกติมาร์คไม่เสวนากับใครถ้าไม่จำเป็น กับจินยองถ้าไม่อยู่ที่บ้านพวกเขาก็ทำเป็นไม่รู้จักกันอยู่แล้ว เพราะไม่อยากให้ถูกเพ่งเล็ง ดังนั้นโลกของเขากับแจ็คสันเลยห่างกันออกไปเรื่อย ๆ

กระทั่งตอนที่แจ็คสันคว้ามือเขาออกมาจากแจบอม

 

 

 

 

เสียงฝีเท้าของพวกที่ไล่ตามมาห่างออกไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ได้ยินเพียงเสียงย่ำเท้าของพวกเขาและเสียงหอบหายใจของมาร์ค จริงอยู่ว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก แค่แผลถลอกสองสามที่ แต่รวม ๆ กันเข้าแถมยังต้องวิ่งสุดฝีเท้าติดต่อกันหลายนาที อาการอ่อนล้าก็เริ่มกัดกินร่างกายของเขาช้า ๆ

เขาอยากบอกแจ็คสันให้หยุดสักครู่ แต่ไม่มีแรงแม้แต่จะพูด และอีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีอยากจะชะลอฝีเท้าเลย สุดท้ายพวกเขาก็เลี้ยวเข้ามาในซอยเล็ก ๆ อีกแห่ง ระยะทางไกลจากตรอกเดิมอยู่พอสมควร และไกลจากร้านข้าวที่จินยองฝากมาร์คซื้อด้วย

รอดตายจากพวกแจบอมไปได้ แต่ก็อาจจะไปตายตรงจินยองเหมือนเดิม

แจ็คสันให้เขาหายใจได้แค่ไม่กี่วินาทีก็ดึงแขนเขาเบา ๆ ให้เดินตามไป พวกเขาไม่ต้องวิ่งแล้ว แต่ขามาร์คก็ล้าไปหมด ฟ้าที่ตอนแรกสว่างดีเป็นสีเข้มจนเรียกได้ว่าโพล้เพล้ พอมองซ้ายมองขวาถึงเห็นว่าเป็นย่านมีอันจะกินทีเดียว ผิดกับแถวที่พักของมาร์คที่เป็นบริเวณใกล้สถานศึกษาลิบลับ

มาร์คมองหน้าคนที่เดินนำเขาอย่างสงสัย แจ็คสันพาเขาเข้าไปในตึกแห่งหนึ่ง ไม่มีอะไรน่ากลัวเพราะตึกดูสว่างไสวสดใสดี มาร์คเข้าใจว่ามันน่าจะเป็นคอนโดมิเนียม แจ็คสันแตะบัตรเข้ามาส่วนด้านใน แล้วพาเขาขึ้นลิฟต์มาถึงชั้นสิบหก

“…นายจะทำอะไร?” เขาอดถามไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายก็เล่นเงียบใส่เขาอย่างผิดวิสัย

จริงอยู่ว่าแจ็คสันอาจจะไม่เก่งภาษาเกาหลี แต่เป็นคนพูดมากคนหนึ่ง เขาแทบไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเงียบเลย พอมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เลยรู้สึกไม่คุ้นสักนิด

“ทำแผลให้นายไง” แจ็คสันตอบกลับมาเป็นภาษาอังกฤษ มาร์ครู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย นานแล้วที่เขาไม่ได้พูดภาษาอังกฤษในประเทศนี้

ห้องของแจ็คสันอยู่เกือบสุดท้าย พอเปิดประตูเข้าไปก็จะเจอห้องนั่งเล่น แจ็คสันบอกให้เขาถอดรองเท้าให้เรียบร้อยแล้วให้เขานั่งรออยู่ที่โซฟาเงียบ ๆ ซึ่งมาร์คก็ทำตามแต่โดยดี

แม้จะรู้สึกแปลกมากก็ตาม

มาร์คมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้สนิทกับแจ็คสัน และแทบไม่รู้จักอะไรกันเลยนอกจากชื่อ แล้วทำไมจู่ ๆ แจ็คสันถึงไปโผล่ที่นั่นได้ แถมยังพาเขามาทำแผลที่ห้องตัวเองอีก (มาร์คคิดว่าน่าจะเป็นห้องแจ็คสันนั่นแหละ ไม่น่าจะเป็นห้องคนอื่นแล้ว)

กล่องปฐมพยาบาลวางลงบนโต๊ะ แจ็คสันที่ยังอยู่ในชุดนักเรียนเหมือนเขาทรุดตัวลงนั่งตรงข้าม เบาะยวบลงไปอย่างเห็นได้ชัด พอมาร์คเงยหน้าขึ้นมาก็สบกับนัยน์ตาสีดำสนิทที่ทอดมองมาทางเขาอย่างไม่บ่งบอกอารมณ์

“…?”

มาร์คทำหน้าสงสัยกลับไป แต่แจ็คสันเพียงแค่กวาดมองทั่วใบหน้าของเขาแล้วผ่อนลมหายใจ ขยับยิ้มมุมปาก ก่อนจะเริ่มหยิบสำลีกับแอลกอฮอล์ขึ้นมา

“…ใจคอจะไม่อธิบายอะไรหน่อยเหรอ?”

สุดท้ายมาร์คก็ถามออกมา

แจ็คสันเหลือบตามองเขา ก่อนพูด “อยากให้อธิบายอะไร?”

“ทำไมนายไปอยู่ตรงนั้นได้? นายไม่กลัวอิมแจบอมเหรอ ถึงลากฉันมาถึงนี่”

คนฟังเลิกคิ้ว “แจบอม? ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว ฉันเห็นท่าไม่ดีก็ไม่คิดจะปล่อยให้นายโดนยำตายคาตีนชาวบ้านเขาอยู่ตรงนั้นหรอกนะ… ขออนุญาตนะ”

ท้ายประโยคเอ่ยจบ ปลายนิ้วก็เสยผมหน้าม้าที่ปรกหน้าผากมาร์คขึ้นไป แล้วกดสำลีชุบแอลกอฮอล์ลงมาเบา ๆ มาร์คกะพริบตาปริบ ๆ มองคนที่บรรจงทำแผลให้เขาอย่างไม่เข้าใจ

“แค่พาฉันออกมาก็ได้ พามาทำแผลถึงที่นี่ทำไม?”

“…ก็แค่อยากพามา” แจ็คสันตอบ “พามาไม่ได้เหรอ?”

มาร์คก็ไม่รู้เหมือนกัน

ไม่ได้มีข้อบังคับอะไรที่ห้ามคนไม่สนิทกันทำแผลให้กัน อย่างน้อยในแง่ของมนุษยธรรมมันก็ควรจะเป็นแบบนั้น แต่มาร์คก็ยังรู้สึกแปลก ๆ อยู่ดี

“ทำไมนายถึงไม่กลัวแจบอมเลย?”

หนำซ้ำแจบอมยังทำท่าตกใจตอนเห็นหน้าแจ็คสันด้วย

“เรื่องนั้น…” แจ็คสันเอียงคอ จัดการทายาและแปะพลาสเตอร์ให้เขา “หมอนั่นกับฉันรู้จักกันน่ะ”

“หา?”

มาร์คอ้าปากค้าง แจ็คสันอาศัยจังหวะนี้เช็ดแผลตรงข้ามแก้มให้เขา มันแสบนิด ๆ แต่พอทนได้ มีเรื่องน่าตกใจมากกว่า

“รู้จักกัน?” มาร์คทวน “หมายความว่ายังไง?”

“ก็ตามนั้น ฉันรู้ว่าทำไมแจบอมถึงหมายหัวนาย”

“ว่าไงนะ?”

มาร์คอยู่โรงเรียนมาสองปียังไม่รู้เลย หมอนี่อยู่มาสองอาทิตย์กว่าแต่รู้แล้ว คืออะไร?

แต่แจ็คสันไม่พูดต่อ กล่องพยาบาลโดนมือหนาปิดฝาลงก่อนจะเดินไปเก็บที่ห้องที่แยกออกไป มาร์คมองตาม อยากจะคาดคั้น แต่ไม่ใช่นิสัยเขาเลยที่จะมาพูดอะไรซ้ำ ๆ ซาก ๆ

“นี่…”

“หิวไหม? กินอะไรหรือยัง?” แจ็คสันโพล่งคำถามใหม่ขึ้นมา มาร์คถึงกับมึนหัว

“นายตอบคำถามฉันก่อนสิ”

“ไว้ตอบตอนกินข้าวก็ได้ เดี๋ยวฉันทำให้กิน แป๊บเดียว”

แล้วก็เดินเข้าครัวไปเลย

มาร์คนั่งเคว้งอยู่พักหนึ่ง พอดีกับที่โทรศัพท์ที่กระเป๋าของเขาสั่น มาร์คหยิบมันขึ้นมาเปิดอ่าน

 

ทำไมไม่รับสาย? โอเคหรือเปล่า?

 

มันคือข้อความจากจินยอง

 

 

 

 

 

 

มาร์คโทร.ไปขอโทษจินยองเพราะตัวเองคงไม่ได้กลับไปกินมื้อเย็นที่บ้านแล้ว แน่นอนว่าจินยองแทบจะพ่นไฟมาตามสัญญาณโทรศัพท์ แต่เขาทำได้เพียงยกมันให้ออกห่างจากหูเล็กน้อยแล้วพูดแต่ว่า ไว้คราวหน้าจะเลี้ยงซูชิที่จินยองอยากกิน

พอวางสาย ก็หันมาเจอสายตาแปลก ๆ ของเจ้าของห้องที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ผ่านไอควันบาง ๆ ของถ้วยรามยอนที่ต้มจนสุกกำลังดี และท้องของมาร์คก็กำลังเรียกร้องอยากกินอะไรสักอย่าง

แต่เขาก็ยังทำใจกินไม่ได้…

“คือว่า…” มาร์คตัดสินใจพูด “ฉันว่ามันประหลาดอะ”

“เรื่องอะไร?” แจ็คสันถามกลับ

“เนี่ย” มาร์คชี้ถ้วยรามยอน “นายไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้”

“ฉันไม่ได้เดือดร้อนอะไรนี่ อยากทำให้ด้วย ถือว่าตอบแทน”

มาร์คกะพริบตาปริบ ๆ “ตอบแทน?”

แต่แจ็คสันไม่ตอบอีกแล้ว เพียงแค่ยิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มจริงใจ แล้วก็ลุกออกไปปล่อยให้เขามองรามยอนตรงหน้าอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจหยิบตะเกียบขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

“เดี๋ยวฉันนั่งแท็กซี่ไป ไม่ต้องห่วงหรอก”

ถ้าพูดแบบนี้กับเพื่อนสนิทที่คบกันมานานคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่พอมาพูดกับคนที่เพิ่งได้คุยกันจริง ๆ จัง ๆ เป็นครั้งแรกแล้ว มาร์ครู้สึกว่ามันไม่ปกติไปเสียหมด

เขายืนอยู่หน้าซอยทางเข้าคอนโดมิเนียมของแจ็คสัน พอบอกแบบนั้นอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ แต่ก็อุตส่าห์รอจนแท็กซี่มาจอดตรงหน้าพวกเขา มาร์คหันมาหาคนตรงหน้าอีกครั้ง

“ถึงจะแปลก ๆ แต่ยังไงก็ขอบคุณนะ”

แจ็คสันยิ้มกว้าง “ยินดี ต่อไปนี้ก็สบายใจได้แล้ว แจบอมไม่มาทำอะไรนายหรอก”

มาร์คขมวดคิ้ว “นายรู้ได้ยังไง?”

“ก็ฉันรู้จักแจบอมไง บอกไปแล้ว”

มาร์คไม่เข้าใจว่า คำว่า รู้จัก ของแจ็คสันมันเป็นยังไง เขาทำได้เพียงขึ้นรถแท็กซี่มา แล้วเหลือบมองอีกคนที่มองส่งเขาจนหายไปจากกระจกหลัง

อะไรของหมอนี่กันนะ…

 

 

 

 

 

 

แล้วมาร์คก็เข้าใจคำว่า ‘ก็ฉันรู้จักแจบอม’ ของแจ็คสันจนได้

เช้าวันต่อมาที่โรงเรียน หลังจากที่เมื่อคืนโดนจินยองเฉ่งไปจนกว่าจะได้นอนก็เกือบตีสอง มาร์คกับจินยองมาโรงเรียนด้วยสภาพเหมือนซอมบี้ พอวางของที่โต๊ะปุ๊บแจ็คสันก็เดินเข้ามาหาเขาทันที

“มาร์ค”

ทุกคนในห้องตกใจ แน่นอน ไม่มีใครคิดว่ามาร์คมีเพื่อนหรอก จินยองพอเข้าโรงเรียนมาก็แยกกันเดินกับเขาเป็นเรื่องปกติ พอจู่ ๆ แจ็คสันเข้ามาทัก ทุกคนเลยมองอย่างไม่อยากเชื่อ

มาร์คขยี้ผมสีแดงของตนเองอย่างขัดใจ ก่อนจะแสร้งทำเสียงแข็ง “อะไร?”

“มาด้วยกันหน่อย”

แล้วแจ็คสันก็คว้าข้อมือเขาออกมาจากห้อง สภาพเหมือนเมื่อวานเด๊ะ แค่เปลี่ยนเวลาและสถานที่ มาร์คหน้าเหวอเดินตามออกไป แล้วก็เหวอเข้าไปอีกเมื่อพบว่าคนที่รออยู่หน้าห้องเรียนคืออิมแจบอม โจทก์เก่าที่เกือบได้ฆ่ากันเมื่อวาน

“นายเกลียดอะไรฉันมากขนาดนั้นเลยเหรอ?” เขากัดฟันถามแจ็คสันที่เหมือนพาเขามาหาเพชฌฆาต แต่แจ็คสันกลับหันมายิ้มให้เขาขำ ๆ แล้วหันกลับไปหาแจบอม

“ตามที่ตกลงกันไว้นะ แจบอม”

มาร์คมองแจ็คสันสลับกับแจบอมอย่างไม่เข้าใจ

ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นช็อกอีกครั้งเมื่อแจบอมโค้งให้เขา

“ขอโทษที่เข้าใจผิดมาตลอด ยกโทษให้ฉันนะ”

“………ฮะ?”

ในหัวมาร์คมีแต่เครื่องหมายคำถาม และมันคงชัดออกมาถึงสีหน้าและแววตา พอแจบอมจะอธิบาย ประตูห้องที่พวกเขายืนขวางอยู่ก็เปิดออก คนที่ออกมาขวางบทสนทนาไม่ใช่ใคร จินยองนั่นเอง

“…”

จินยองกวาดมองมาร์ค แจ็คสัน แล้วมาหยุดที่แจบอม ก่อนจะพึมพำเสียงเบา “ขอทางหน่อย” แล้วเดินออกไปอีกทาง มาร์คมองตามหลังจนจินยองเดินไปพ้นหัวมุมก็กลับมามองสองคนข้างหน้าอีกครั้ง

แล้วก็เห็นสายตาของแจบอมที่ยังคงมองค้างอยู่ตามทางที่จินยองเดินไป

 

 

TBC